Smart Review
รีวิว i-mobile IQ Z PRO สมาร์ทโฟน 4G, กล้องหลังคู่, ขุมพลัง Snapdragon 615 Octa-core
i-mobile IQ Z PRO สมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการ Android 5.1.1 Lollipop ดีไซน์สวยงามด้วยกระจกครอบฝาหลัง มาพร้อมกล้องหลังคู่เก็บทุกรายละเอียดของภาพแล้วเลือกจุดโฟกัสหรือปรับแต่งสีภายหลังได้ ขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง Snapdragon 615 Octa-core และแบเตอรี่ 3.500 mAh
สรุปข้อมูลและสเปค i-mobile IQ Z PRO |
- ราคาเปิดตัว 11,900 บาท (มกราคม 2559)
- ใช้งานได้ 2 ซิมการ์ด (Micro SIM + Nano SIM)
- รองรับ 3G : 850 / 900 / 1900 / 2100 MHz
- รองรับ 4G LTE Cat.4 ความเร็วดาวน์โหลดสูงสุด 150 Mbps
- ขนาดตัวเครื่อง 154 x 76.6 x 7.3 มม.
- น้ำหนัก 160 กรัม
- หน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว Full HD AMOLED
- ระบบปฏิบัติการ Android 5.1.1 Lollipop
- ชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 615 Octa-core 1.5 GHz
- จีพียู Adreno 405
- แรม 3 GB
- ความจุตัวเครื่อง 32 GB เพิ่มได้ด้วย microSD card สูงสุด 64 GB (ใส่ช่อง SIM 2)
- กล้องหลัง 18 ล้านพิกเซล ค่ารูรับแสง f/2.0 + กล้องความละเอียด 2 ล้านพิกเซล
- กล้องหน้า 8 ล้านพิกเซล ค่ารูรับแสง f/2.0
- แบตเตอรี่ 3,500 mAh
- Wi-Fi, GPS/A-GPS , Bluetooth 4.0
อุปกรณ์ภายในกล่อง |
- ตัวเครื่อง IQ Z PRO พร้อมแบตเตอรี่ฝังติดในตัวเครื่อง
- อะแดปเตอร์
- สายเคเบิล microUSB
- หูฟังขนาดมาตรฐาน 3.5 มม.
- เสาอากาศทีวีดิจิตอล
- เคสพลาสติกใส
- ฟิล์มกันรอยหน้าจอ
- เข็มจิ้มถาดใส่ซิม
- ตัวติดฝาหลังสำหรับวางตั้งตัวเครื่อง
- คู่มือใช้งาน
ตัวเครื่อง ดีไซน์ และหน้าจอแสดงผล |
i-mobile IQ Z PRO มีดีไซน์ด้วยกรอบตัวเครื่องโค้งมนสอดรับกับอุ้มมือเมื่อจับใช้งาน มีความบางเพียง 7.3 มม. และโดดเด่นด้านฝาหลังครอบด้วยกระจกกันรอย ซึ่งเป็นกระจกแบบใสสะท้อนให้ความสวยงาม แต่อาจคราบจากรอยนิ้วมือได้ง่าย
หน้าจอของ IQ Z PRO เป็นหน้าจอแบบ AMOLED สีสันสดใสด้วยอัตราส่วนคอนทราสต์ที่สูง โดยมีขนาดหน้าจอ 5.5 นิ้ว Full HD ความละเอียด 1080 x 1920 พิกเซล บริเวณเหนือหน้าจอมีเลนส์กล้องหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล, ไฟแฟลช LED, ช่องลำโพงสำหรับเสียงสนทนา และเซ็นเซอร์ต่าง ๆ
ปุ่มนำทาง 3 ปุ่มจัดวางอยู่บนหน้าจอ ทำให้บริเวณด้านล่างหน้าจอไม่มีปุ่มใด ๆ
ขอบด้านบนมีช่องเสียบหูฟังขนาดมาตรฐาน 3.5 มม. และไมโครโฟนตัดเสียงรบกวน
ขอบด้านล่างมีไมโครโฟน, ช่องสำหรับเสียงลำโพง และพอร์ตเชื่อมต่อขนาด microUSB v2.0 สำหรับชาร์จแบตหรือถ่ายโอนข้อมูลผ่านสายเคเบิล
ขอบด้านขวามีปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่ม Power สำหรับปิด/เปิดเครื่องหรือกดเพื่อปิด/เปิดหน้าจอ ซึ่งปุ่มนี้จะมีไฟ LED สำหรับแจ้งเตือนสถานะต่าง ๆ ด้วย
ขอบด้านซ้ายมีช่องถาดใส่ซิม ซึ่งรองรับ 2 ซิม ขนาด Micro SIM ในช่องซิม 1 และ Nano SIM ในช่องซิม 2 โดยช่องซิม 2 สามารถเลือกใส่ microSD card แทนได้ รองรับความจุสูงสุด 64GB
ฝาหลังแกะเปิดไม่ได้ ภายในมีแบตเตอรี่ 3,500 mAh และเลนส์กล้องหลังตัวหลักความละเอียด 18 ล้านพิกเซล เซ็นเซอร์จริง 13 ล้านพิกเซล กับตัวเลนส์เสริมขนาด 2 ล้านพิกเซล พร้อมแฟลช LED
อินเตอร์เฟซและฟังก์ชั่นการใช้งาน |
i-mobile IQ Z PRO รันระบบปฏิบัติการ Android 5.1.1 Lollipop มาพร้อมภาพวอลเปเปอร์สีสันสดใสเพื่อสื่อถึงหน้าจอ Super Bright AMOLED ปลอดล็อคหน้าจอเพื่อเข้าสู่หน้าโฮมโดยการแตะแล้วปัด
ในหน้าโฮมรองรับการจัดวางไอคอน, เพิ่มวิดเจ็ต, เปลี่ยนภาพวอลเปเปอร์ และมีธีมให้เลือกใช้งาน 4 แบบ ในส่วนของ App Drawer จัดเรียงแบบ 4 x 6 แถว
เมื่อลากแถบบาร์ด้านบนลงมาจะเป็นส่วนแสดงรายการแจ้งเตือนต่าง ๆ และแผงควบคุม Control panel สามารถแตะที่ไอคอนฟันเฟืองมุมขวาบนเพื่อเข้าสู่เมนูการตั้งค่าตัวเครื่องได้
เมื่อกดปุ่ม Recent App (ปุ่มซ้ายสุด) จะเป็นส่วนแสดงรายการแอพพลิเคชั่นที่เปิดใช้งานอยู่ล่าสุด สามารถแตะที่รายงานแอพเพื่อเข้าใช้งานต่อได้ทัน หรือปัดเพื่อปิดการทำงานก็ได้
IQ Z PRO รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด โดยเลือกได้ว่าต้องการให้ซิมใดใช้งาน 3G/4G ส่วนอีกซิมก็จะสลับไปใช้งาน 2G สำหรับการโทรอัตโนมัติ และรองรับการใช้งานได้ทุกเครือข่ายในไทยทั้ง 3G และ 4G
ปุ่มต่าง ๆ ของตัวเครื่องยังสามารถเลือกเพิ่มฟังก์ชั่นการทำงานเข้าไปได้ด้วย เช่น ปุ่ม Power ใช้สำหรับการวางสาย, ปุ่มโฮมเมื่อกดค้างยาวให้เรียกใช้งานฟังก์ชั่นอื่น ๆ เป็นต้น
ทีวีดิจิตอล (Digital TV) เป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์เด่นของรุ่นนี้ ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถดูทีวีได้ทุกที่ทุกเวลาโดยไม่ต้องต่อเน็ต เพราะใช้ตัวรับสัญญาณผ่านเสาอากาศแบบเดียวกับการดูทีวีที่บ้านนั่นเอง โดยใช้เสาอากาศที่ให้มาในกล่องเสียบที่ช่องหูฟัง
ตรวจสอบเซ็นเซอร์ด้วย Android Sensor Box และมัลติทัช |
- Accelerometer Sensor ช่วยหมุนหรือปรับเปลี่ยนทิศทางการแสดงผลของหน้าจอให้แบบอัตโนมัติ ตามลักษณะการจับถือของผู้ใช้
- Light Sensor สำหรับตรวจวัดระดับความสว่างของสภาพแวดล้อม เพื่อปรับความสว่างของหน้าจอและแผงปุ่มกดให้เหมาะสม
- Orientation Sensor ระบบปรับมุมมองการแสดงผลหน้าจออัตโนมัติ
- Proximity Sensor สำหรับการปิดหน้าจอแบบอัตโนมัติขณะสนทนา เพื่อประหยัดพลังงาน
- Gyro Sensor ระบบตรวจจับความเคลื่อนไหวแบบ 3 แกน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และ
ความยืดหยุ่นหลากหลายในการควบคุม เพราะเซ็นเซอร์ตัวนี้จะวัดค่าได้เมื่อมีการขยับเคลื่อนไหวของตัวสมาร์ทโฟน ต่างไปจาก Accelerometer Sensor ที่วัดค่าได้แม้วางสมาร์ทโฟนไว้นิ่ง ๆ - Sound Sensor ตรวจวัดระดับเสียง
- Magnetic Sensor ตรวจวัดความเข้มสนามแม่เหล็ก
- Galaxy A5 (2016) รองรับมัลติทัชสูงสุด 10 จุด
ผลทดสอบคะแนน Benchmark และประสิทธิภาพการทำงาน |
i-mobile IQ Z PRO รันระบบปฏิบัติการ Android 5.1.1 Lollipop 64-bit ขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง Qualcomm Snapdragon 615 64-bit ซีพียู Octa-core 1.5 GHz กับจีพียู Adreno 405 และแรม 3 GB กับความจุตัวเครื่อง 32 GB โดยผลการทดสอบ AnTuTu 6.0 ซึ่งเป็นการทดสอบการเข้าถึงการทำงานของแรม และประสิทธิภาพการทำงานของหน่วยประมวลผลกราฟิกหรือจีพียู ทำคะแนนรวมได้ 34,326 คะแนน ถือว่าอยู่ในระดับกลาง ๆ
ผลการทดสอบด้วย Geekbench 3 เพื่อทดสอบประสิทธิภาพการทำงานและการประมวลผลและหน่วยความจำแรม การทดสอบนี้จะทำการประมวลออกมาเป็นตัวเลขแบ่งออกเป็น 2 แบบคือ Single-Core และ Multi-Core หากได้คะแนนยิ่งสูงประสิทธิภาพการทำงานจะยิ่งดี โดยผลทดสอบของ IQ Z PRO ทำคะแนน Single-Core ได้ 668 และ Multi-Core ทำได้ 2,551 คะแนน
กล้องถ่ายรูป |
i-mobile IQ Z PRO มาพร้อมกล้องหลังคู่ โดยตัวกล้องหลักมีความละเอียด 18 ล้านพิกเซล แต่ใช้เทคนิคซอฟท์แวร์เข้ามาช่วยขยายพิกเซลได้สูงสุด 18 ล้านพิกเซล ส่วนกล้องตัวรองมีความละเอียด 2 ล้านพิกเซล ช่วยเก็บภาพระยะต่าง ๆ เพื่อนำมาเลือกจุดโฟกัสภายหลังหรือปรับแต่งภาพด้วยซอฟแวร์ภายหลังได้
โหมดออโต้หรืออัตโนมัติ หยิบมือถือขึ้นมาแล้วเปิดกล้อง เลือกจุดโฟกัสแล้วถ่าย ซึ่งในโหมดนี้ถ่ายภาพได้ขนาดสูงสุด 18 ล้านพิกเซล ในอัตราส่วน 4:3
การถ่ายภาพด้วยกล้องคู่ ทำได้โดยเลือกที่โหมดกล้องคู่ จากนั้นก็ทำการถ่ายภาพเหมือนการถ่ายภาพทั่วไป ซึ่งความพิเศษของโหมดนี้จะสามารถมาเลือกจุดโฟกัสและแต่งภาพภายหลังได้ โดยถ่ายภาพได้ขนาดสูงสุด 13 ล้านพิกเซลตามเซ็นเซอร์จริง ในอัตราส่วน 4:3
Super Refocus เป็นการมาแตะจุดบนภาพเพื่อเลือกจุดโฟกัสและปรับความเบลอตามระดับค่ารูรับแสง ยิ่งค่า f น้อยลงก็จะยิ่งเบลอมากขึ้น
Background Deco เป็นการปรับแต่งสีและเลือกรูปแบบพื้นหลังตามต้องการ รวมถึงปรับความเบลอของภาพได้ด้วย
โหมด Panorama เป็นการแพนกล้องในแนวนอนหรือแนวตั้งเพื่อเก็บภาพหลายภาพเป็นภาพเดียวกัน เหมาะกับการถ่ายวิว ซึ่งถ้าถ่ายแนวตั้งก็จะได้ขนาดภาพที่สูงขึ้นกว่าถ่ายในแนวนอน
โหมด HDR เป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่น่าสนใจไม่แพ้โหมดอื่น ๆ เพราะจะช่วยให้ภาพที่มีความสว่างของแสงต่างกันมากทำออกมาได้ดีขึ้น อย่างเช่นการถ่ายย้อนแสง โดยเป็นการถ่ายภาพหลาย ๆ ภาพแล้วเอาภาพมารวมกันเป็นภาพเดียว ทำให้เวลาถ่ายภาพด้วยโหมดนี้จำเป็นต้องถือกล้องนิ่ง ๆ สักพัก เพื่อให้ได้ภาพที่มีรายละเอียดครบ ทั้งพื้นที่ส่วนที่สว่างและส่วนที่มืด
โดยรวมแล้วถือว่ากล้องของ IQ Z PRO ทำออกมาได้น่าพอใจ แต่ในส่วนของฟีเจอร์ Super Refocus และ Background Deco ยังทำได้ไม่เนียน โดยเฉพาะการเบลอภาพ
ตัวอย่างภาพถ่าย
สรุปจุดเด่น i-mobile IQ Z PRO
- หน้าจอขนาดใหญ่ 5.5 นิ้ว สันสันคมชัดสวยงามระดับ Full HD ด้วยหน้าจอแบบ AMOLED และตัวเครื่องดีไซน์สวยครอบฝาหลังด้วยกระจก
- รันระบบปฏิบัติการ Android 5.1.1 Lollipop 64-bit และชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 615 Octa-core 1.5 GHz
- แรม 3 GB และความจุตัวเครื่อง 32 GB เพิ่มได้ด้วย microSD card สูงสุด 64 GB (ใส่ช่อง SIM 2)
- กล้องหลังคู่ความละเอียด 18 ล้านพิกเซล + 2 ล้านพิกเซล
- ใช้งาน 2 ซิมการ์ด รองรับทั้ง 3G และ 4G ทุกเครือข่ายในไทย
- แบตเตอรี่ 3,500 mAh
จุดสังเกตเพิ่มเติม
- กระจกด้านหลังเกิดคราบจากรอยนิ้วมือง่ายเนื่องจากเป็นกระจก
- ต้องเลือกช่องซิมใดซิมหนึ่งให้เป็น 3G/4G ส่วนอีกซิมจะเป็น 2G สำหรับการโทรเท่านั้น
ขอบคุณ บริษัท สามารถ ไอ-โมบาย จำกัด (มหาชน)
Smart Review
รีวิว Wiko Power U20 สมาร์ทโฟนจอใหญ่ แบตอึด ราคาโดนใจ
รีวิว Wiko Power U20 สมาร์ทโฟนที่มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Android 11 หน้าจอใหญ่ 6.8 นิ้ว HD+ มีกล้องหลัง 3 เลนส์ AI และแบตอึด 6000mAh ใช้งานได้สนุกยาวนานทั้งวัน

สรุปสเปค Wiko Power U20
- ขนาดตัวเครื่อง : 173.8 × 78.6 × 9.45 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก : 210 กรัม
- หน้าจอแสดงผลชนิด IPS LCD กว้าง 6.8 นิ้ว ความละเอียด 720 x 1640 พิกเซล
- หน่วยประมวลผล : Mediatek Helio G35
- GPU : PowerVR GE8320
- RAM 3 GB
- ROM 32 GB รองรับ microSD card สูงสุด 256GB
- ระบบปฎิบัติการ Android 11
- กล้องถ่ายรูปด้านหลัง 3 เลนส์
- เลนส์หลัก 13 ล้านพิกเซล
- เลนส์ Bokeh 2 ล้านพิกเซล
- เลนส์ AI สำหรับระบุฉากตอนถ่ายรูป
- กล้องหน้า 5 ล้านพิกเซล
- รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ดแบบ
- การเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 b/g/n, Bluetooth 4.2 และพอร์ต micro USB2.0
- แบตเตอรี่ความจุ 6000 mAh
แกะกล่อง ดีไซน์ตัวเครื่อง และหน้าจอแสดงผล
Wiko Power U20 มาในกล่องที่ดีไซน์เรียบๆ มีชื่อรุ่นอยู่บนฝากล่อง และด้านหลังมีฟีเจอร์เด่นของรุ่นนี้ ซึ่งสีตัวเครื่องที่รีวิวในบทความนี้เป็นสีเขียวมิ้นท์ (Mint)


อุปกรณ์ที่มีให้ในกล่อง
- ตัวเครื่องสมาร์ทโฟน Wiko Power U20
- สายชาร์จ micro USB 2.0
- อะแดปเตอร์ 10W
- หูฟัง
- เคส
- ฟิล์มกันรอย
- คู่มือใช้งาน
- เข็มจิ้มถาดใส่ซิม
ด้านการดีไซน์ Wiko Power U20 มีความสวยงามและทันสมัย ฝาหลังเป็นสีมิ้นท์ที่ให้ผิวสัมผัสแบบด้านคล้ายการดีไซน์แบบการพ่นทราย ซึ่งช่วยลดการเกิดคราบรอยนิ้วมือและช่วยให้จับถนัดมือ ไม่ลื่นด้วย

ฝาหลังยังมีข้อความสโลแกน Let’s POWER-UP ซึ่งเป็นจุดเด่นของรุ่นนี้ที่มีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่นั่นเอง ซึ่งข้อความก็ช่วยให้ฝาหลังดูมีลวดลายขึ้นมา และก็ดูสวยไปอีกแบบ

เลนส์กล้องหลังมีทั้งหมด 3 เลนส์ ความละเอียด 13MP + 2MP + AI และมีแฟลช LED

พอร์ตเชื่อมต่อสำหรับถ่ายโอนข้อมูลผ่านสายเคเบิลและสำหรับชาร์จไฟเป็นพอร์ตแบบ micro USB 2.0

Wiko Power U20 มีช่องหูฟัง 3.5 มม. และยังเป็นรุ่นที่มีหูฟังแถมมาให้ในกล่องด้วย แม้ในปัจจุบันสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่หลายรุ่นจะเริ่มไม่มีหูฟังในกล่องแล้ว

ถาดใส่ซิมของรุ่นนี้เป็นแบบ 3 Slot ใส่ได้ 2 ซิมการ์ด พร้อมกับใส่ microSD card ได้

ด้านขวาตัวเครื่องจะมีปุ่มเรียกใช้งาน Google Assistant ถัดมาเป็นปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่ม Power

หน้าจอแสดงผลของรุ่นนี้มีขนาด 6.8 นิ้ว ความคมชัดระดับ HD+ โดยกระจกหน้าจอเป็นแบบโค้ง 2.5D อีกทั้งกรอบตัวเครื่องมีความโค้งมนทำให้เวลาถือใช้งานรู้สึกกระชับมือมากขึ้น แม้ตัวเครื่องจะค่อนข้างมีขนาดใหญ่

กล้องหน้ามีขนาด 5 ล้านพิกเวล และถัดขึ้นไปด้านบนเล็กน้อยจะมีช่องลำโพงสำหรับใช้ในการฟังเสียงตอนโทรศัพท์

ด้วยขนาดหน้าจอที่ใหญ่ ทำให้เวลาดูคอนเทนท์หรือดูคลิปวิดีโอต่างๆ เห็นได้เต็มตา และรอยบากสำหรับติดตั้งกล้องก็เล็กนิดเดียว ทำให้ไม่รบกวนสายตาเวลามองหน้าจอ

ซอฟต์แวร์ และฟังก์ชั่นการใช้งาน
Wiko Power U20 มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Android 11 ตั้งแต่แกะออกจากกล่อง ทำให้ใช้งานฟีเจอร์ใหม่ๆ ได้ทันที และแอปพลิเคชั่นที่ติดตั้งมาให้ตอนแรกก็มีเฉพาะที่จำเป็น ไม่มีแอปขยะติดตั้งมาให้รกเครื่อง ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องชื่นชมเลยครับ

ถ้าใครได้ใช้งาน Anddroid 11 ต้องบอกเลยว่าต้องชื่นชอบฟีเจอร์นี้กันอย่างแน่นอนคือ การบันทึกหน้าจอเป็นวิดีโอ เพราะเป็นฟีเจอร์พื้นฐานบนสมาร์ทโฟนที่มาพร้อมเวอร์ชั่นจะได้ใช้งานกัน ไม่ต้องลงแอปเพิ่มให้ยุ่งยาก แม้จะเป็นรุ่นราคาไม่แพงก็ใช้ได้

Wiko Power U20 มีปุ่มพิเศษสำหรับเรียกใช้งาน Google Assistant ได้สะดวกมากขึ้น เมื่อกดปุ่มที่อยู่ขอบทางด้านขวาตัวเครื่องก็จะสามารถใช้งานผู้ช่วยส่วนตัวนี้ได้ทันที

สำหรับฟีเจอร์แรกเมื่อเข้ามาในเมนูการตั้งค่าจะเป็นของ Wiko ไม่ว่าจะเป็นโหมดการใช้งานมือเดียว การตั้งค่าแถบการนำทาง การจัดการหน้าจอหลัก หรือปิดแถบติ่งหน้าจอด้านบน เป็นต้น

ฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย ปลดล็อคด้วยใบหน้า จาการทดสอบใช้งานถือว่าทำได้รวดเร็วดี ใช้งานได้สะดวกแค่ยกสมาร์ทโฟนขึ้นมาก็ปลดล็อกด้วยใบหน้าได้ทันที

โหมดเล่นเกมสำหรับเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของตัวประมวลผลให้การเล่นเกมทำได้เต็มที่มากขึ้น โดยการเคลียร์หน่วยความจำและปิดการทำงานแอปเบื้องหลัง ทำให้เล่นเกมได้ลื่นๆ รวมไปถึงปิดการแจ้งเตือนไม่ให้รบกวนระหว่างการเล่นเกมได้ด้วย

Wiko Power U20 มีโหมดใช้งานหรือ Simple Mode ที่จะทำให้เมนูการใช้งานต่างๆ มีขนาดใหญ่ และเน้นฟีเจอร์พื้นฐาน เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มต้นใช้งานสมาร์ทโฟน หรือช่วยให้คุณพ่อคุณแม่มองเห็นเมนูได้ชัดเจนมากขึ้น เลือกใช้งานได้ง่าย ไม่ซับซ้อน

การจัดการระบบก็มีฟีเจอร์ ผู้ช่วยอัจฉริยะ สามารถใช้จัดการระบบได้คลิกเดียว ไม่ว่าจะเป็นทำความสะอาดระบบ เคลียร์หน่วยความจำ สแกนไวรัส และปิดแอปที่ใช้งานพลังงานมากเกินไป เป็นต้น

นอกจากนี้แล้วก็ยังมีฟีเจอร์การเคาะหน้าจอ 2 ครั้งเพื่อเปิดหน้าจอ หรือการใช้ทางการสัมผัส เช่น เปิดกล้องอย่างรวดเร็วด้วยการกดปุ่ม Power ติดกัน 2 ครั้ง เป็นต้น

ด้านการเชื่อมต่อของ Wiko Power U20 รองรับการใช้งานบนเครือข่าย 4G, Wi-Fi 802.11 b/g/n และ Bluetooth 4.2

ฟีเจอร์ด้านหน้าจอแสดงผลรองรับธีมมืดด้วย สำหรับเปิดใช้งานในที่แสงน้อยหรือในที่มืด ถ้าใครชอบนอนเล่นมือถือดึกๆ จะเหมาะมากๆ เพราะจะช่วยให้สบายตามากขึ้น

Digital Wellbeing แดชบอร์ดสรุปข้อมูลการใช้งานสมาร์ทโฟนและแอปพลิเคชั่น ว่ามีการใช้งานมากขนาดไหนต่อวัน หรือแม้กระทั่งจำนวนครั้งที่ปลดล็อคสมาร์ทโฟน ฟีเจอร์นี้ก็จะทำการบันทึกไว้ด้วย

ประสิทธิภาพการทำงานและแบตเตอรี่
Wiko Power U20 ถือเป็นสมาร์ทโฟนราคาประหยัดรุ่นใหม่ที่เลือกใช้ชิปเซ็ตตัวใหม่ MediaTek Helio G35 ที่มีขนาด 12nm มาพร้อมซีพียูแบบ Octa-core นอกจากจะช่วยในเรื่องของการประมวลผลที่ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพตามระดับราคาแล้ว ยังช่วยประหยัดพลังงานได้ดีอีกด้วย เอาใจสายเกมมิ่งด้วยการทดสอบเกม ROV รุ่นนี้สามารถเปิดกราฟิกได้ระดับสูงสุดทั้งหมด รวมถึงเฟรมเรทระดับสูงด้วย

ลองเล่นในโหมด 5 VS 5 เล่นได้สบายๆ แต่บางฉากที่เข้าร่วมทีมไฟต์อาจจะมีเฟรมเรทเหวี่ยงอยู่บ้าง แต่ถ้าปิดโหมดเฟรมเรทสูงก็สามารถเช่นได้สบายๆ ไม่มีปัญหา

หน้าจอที่กว้างขึ้น ยังช่วยให้การเล่นเกมได้มุมมองที่กว้างมากขึ้น เห็นสภาพแวดล้อมหรือมีโอกาสในการเห็นศัตรูที่อยู่ริมขอบหน้าจอได้มากกว่าหน้าจอบนสมาร์ทโฟนทั่วไป ซึ่งก็เป็นจุดได้เปรียบที่ดีอย่างหนึ่งในการเล่นเกม

ทดสอบเล่นเกม Asphalt 9 : Legends เกมแข่งรถจาก Gameloft ถูกออกแบบมาเพื่อให้ประสบการณ์เกมคอนโซลที่สมจริงและภาพกราฟิกที่สวยงามมากขึ้นด้วยเทคนิค HDR พร้อมรถจากหลายค่ายดัง ก็เล่นได้ไม่มีปัญหา แต่บางฉากอาจมีการกระตุกอยู่บ้างเล็กน้อย ถ้าเทียบกับราคาของรุ่นนี้แล้วก็ถือทำได้ดีเลยทีเดียว

แบตเตอรี่ของ Wiko Power U20 มีขนาด 6000mAh ให้มาเยอะมากๆ ใช้งานทั่วไปได้ยาวๆ 2-3 วัน และมีระบบ AI ช่วยจัดการพลังงานให้ใช้งานได้ยาวมากยิ่งขึ้นไปอีก

การชาร์จไฟให้กับสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ จะรองรับกำลังไฟสูงสุด 10W แนะนำให้ชาร์จทิ้งไว้ตอนเข้านอนก็ได้ครับ ด้วยแบตเตอรี่ขนาดใหญ่จะค่อนข้างใช้เวลานานในการชาร์จเต็ม แต่ชาร์จเต็มครั้งเดียวอยู่ได้นานหลายวันเลย

กล้องถ่ายรูป
Wiko Power U20 มาพร้อมกล้องหลัง 3 เลนส์ ความละเอียดกล้องหลัก 13 ล้านพิกเซล + เลนส์ Depth หรือ Bokeh และเลนส์ AI สำหรับช่วยระบุฉากและปรับค่ากล้องให้ถ่ายฉากนั้นๆ ได้สวยโดยอัตโนมัติ

กล้องหลัก 13 ล้านพิกเซล สามารถเก็บรายละเอียดของภาพได้คมชัด และมี AI ช่วยให้การถ่ายภาพต่างๆ เป็นเรื่องง่าย






การถ่ายภาพบุคคลหรือ Portrait ที่มีเลนส์ Bokeh เข้ามาช่วย ทำให้การละลายฉากหลังทำได้เนียนเป็นธรรมชาติ ภาพบุคคลมีความโดดเด่น ถ่ายสนุกมากขึ้น



สำหรับกล้องหน้า 5 ล้านพิกเซล มีฟีเจอร์ปรับแต่งหน้าให้สวยเนียนตั้งแต่ 0-100 และมีสติกเกอร์ AR ทีทำให้การเซลฟี่สนุก ไม่จำเจ พร้อมแชร์ลงโซเชียลได้ทันที


สรุปจุดเด่น
- Wiko Power U20 ดีไซน์สวย หน้าจอใหญ่ 6.8 นิ้ว ดูคอนเทนท์ได้เต็มตา
- กล้องถ่ายรูปทำออกมาได้ดีเกินคาด เมื่อเทียบกับราคาไม่ถึง 3,000 บาท
- ชิปเซ็ต Helio G35 เล่นเกมที่มีภาพสวยๆ ได้ไม่มีปัญหา
- ระบบปฏิบัติการ Android 11 ได้ใช้งานฟีเจอร์ใหม่ๆ
- รองรับ 4G ทั้ง 2 ซิม
- แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 6000mAh ไม่ตัองกังวลเรื่องแบตหมดระหว่างวัน
จุดสังเกตเพิ่มเติม
- ถ้าต้องการชาร์จแบตให้เต็ม แนะนำให้ชาร์จทิ้งไว้ตอนนอน เพราะใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมงในการชาร์จเต็ม เนื่องจากแบตเตอรี่มีขนาดใหญ่
Wiko Power U20 วางจำหน่ายในราคา 2,999 บาท ซื้อได้ที่ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ
Smart Review
รีวิว Amazfit Bip U สมาร์ทวอทช์ฟีเจอร์เพียบ จอสัมผัส, ออกกำลังกายกว่า 60 โหมด รองรับการวัด SpO2 และแบตอึดนาน 9 วัน

Amazfit Bip U สมาร์ทวอทช์สุดคุ้ม รองรับฟีเจอร์แบบครบทั้งด้านสุขภาพและการออกกำลังกาย พร้อมชูจุดเด่นในการวัดอัตราการเต้นของหัวใจ, ออกซิเจนในเลือด และออกกำลังกายถึง 60 โหมด
สเปคโดยรวมของ Amazfit Bip U
- ขนาดรอบตัวเครื่อง : 40.9 x 35.5 x 11.4 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 31 กรัม (รวมสายรัด)
- หน้าจอแสดงผล IPS LCD ขนาด 1.43 นิ้ว ความละเอียด 320 x 302 พิกเซล และสี 72% NTSC
- การเชื่อมต่อ : Bluetooth 5.0 BLE
- เซ็นเซอร์
- เซ็นเซอร์วัดความเร่ง
- เซ็นเซอร์แสง PPG สำหรับ BioTracker
- วัดอัตราการเต้นของหัวใจ
- Gyroscope
- วัดออกซิเจนในเลือด (SpO2)
- แบตเตอรี่ความจุ 230 mAh
- อุปกรณ์ที่รองรับ Android 5.0 หรือ iOS 10.0 ขึ้นไป
- มีมาตรฐานกันน้ำลึก 5ATM
Amazfit Bip U ใช้วัสดุพลาสติกโพลีคาร์บอเนต (Polycarbonate) ทำให้มีน้ำหนักเบา รู้สึกไม่หนักจนเกินไปเวลาสวมใส่ทั้งตอนกลางวันหรือตอนนอนครับ

โดยสีสันก็ยังมีความสดใสมากๆ อย่างสีเขียวที่เราได้มาทำให้ดูโดดเด่นขึ้นมาทันที ขณะที่ Amazfit Bip U ก็มีอีก 2 สี ได้แก่ สีดำและชมพูครับ

สำหรับสายรัดก็มาแบบซิลิโคนที่มีน้ำหนักเบา ไม่แข็งจนเกินไป ทำให้ใส่ได้ง่ายและสบายสุดๆ

ในส่วนของหน้าจอแสดงผลมาแบบสีด้วยชนิด IPS LCD ขนาด 1.43 นิ้ว ความละเอียด 320 x 302 พิกเซล โดยมีความโค้งเล็กน้อยด้วยกระจก 2.5D และเคลือบสารป้องกันรอยนิ้วมืออีกด้วย (Anti-fingerprint coating)

ที่ตัวเครื่องจะมีปุ่มฝั่งขวาสำหรับย้อนกลับหรือเข้าหน้าเมนู

ขณะที่ด้านหลังจะมีระบบเซ็นเซอร์ต่างๆ และแม่เหล็กสำหรับวางกับแท่นชาร์จ

ในการใช้งานเราสามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนได้ผ่านแอปพลิเคชั่น Zepp ที่มีทั้งบน App Store และ Google Play Store

เมื่อเชื่อมต่อเรียบร้อย Amazfit Bip U จะมีหน้าปัดให้เราเลือกมากกว่า 50 แบบเลยทีเดียว ใครชอบแบบไหนก็เลือกได้ตามใจชอบเลย!

ฟีเจอร์ด้านออกกำลังกาย
รองรับโหมดกีฬามากกว่า 60 ชนิด
Amazfit Bip U เน้นการออกกำลังกายด้วยการรองรับโหมดของกีฬามากกว่า 60 แบบ ไม่ว่าจะเป็นการวิ่ง, เดิน, การเต้นประเภทต่างๆ, ปั่นจักรยาน, คริกเกต และอื่นๆ เพียบ


นอกจากนี้ Amazfit Bip U ก็สามารถใช้งานว่ายน้ำได้สบายๆ จากมาตรฐานการป้องกันน้ำ 5ATM ที่ทำได้ลึกสุดถึง 50 เมตร

Amazfit Bip U ยังมีเทคโนโลยีการตรวจจับด้วยเซ็นเซอร์ BioTracker 2 PPG Biological Optical เพื่อช่วยระบุจำนวนก้าวและอัตราการเต้นของหัวใจได้แบบเรียลไทม์

ฟีเจอร์ด้านสุขภาพ
สำหรับด้านสุขภาพ Amazfit Bip U ก็ยังทำออกมาได้ดีมากๆ ตั้งแต่การวัดอัตราการเต้นของหัวใจ 24 ชั่วโมงเรียลไทม์ โดยจะมีการแจ้งเตือนเมื่อมีอัตราการเต้นที่ต่ำหรือสูงเกินไปตามที่เรากำหนดไว้ในแอป Zepp

วัดออกซิเจนในเลือด
ความพิเศษของสมาร์ทวอทช์รุ่นนี้ยังรองรับการวัดค่าออกซิเจนในเลือดได้ ซึ่งค่าปกติควรอยู่ที่ 95 ขึ้นไปครับ

การวัดความเครียด
สำหรับการวัดความเครียดจะถูกนำมาคิดตามค่าความผันแปรของอัตราการเต้นของหัวใจครับ โดยค่ายิ่งน้อยคือยิ่งผ่อนคลายครับ

ติดตามการนอนได้
Amazfit Bip U มาพร้อมกับการวัดคุณภาพการนอนแต่ละวันของเราได้ ซึ่งถือว่าทำได้แม่นยำพอสมควร โดยมีคะแนนการนอนหลับโดยรวม โดยมีการบอก 4 ค่าระหว่างการนอนเป็นชั่วโมง ได้แก่ หลับลึก, REM, หลับตื่น และตื่น

แบตเตอรี่ใช้งานได้นานสูงถึง 9 วัน
จากการทดอสอบการใช้งานไป 1 วันเต็มๆ โดยเปิดฟีเจอร์การวัตอัตราการเต้นของหัวใจไว้ตลอด 1 นาที 24 ชั่วโมง จาก 100% ลดลงมาเหลือ 92% ครับ ซึ่งถ้าเฉลี่ยแล้วอยู่ได้ 9 วันกว่าเลยด้วยซ้ำครับ

สำหรับ Amazfit Bip U วางจำหน่ายผ่านทาง Amazfit Official Store
- JD Central : http://bit.ly/3oYe7WM
- Shopee : http://bit.ly/2LACxYe
- Lazada : https://bit.ly/3ikZDxU
Smart Review
รีวิว Beats Flex หูฟังไร้สายชิพ Apple W1, แบตอึด 12 ชม. พร้อมฟังเพลงชัด เล่นเกมสบาย ในราคาเพียง 1,900 บาท

รีวิว Beats Flex หูฟังไร้สายสุดคุ้มจาก Beats ชูโรงด้วยการใช้งานได้ตลอดวันเพียงชาร์จครั้งเดียว, ป้องกันเสียงลมและเสียงรบกวนในการพูดได้ และการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนเพื่อให้ชีวิตราบรื่นขึ้นอีกเยอะ
คุณสมบัติหูฟังไร้สาย Beats Flex
- ความสูง: 1.6 ซม./0.6 นิ้ว
- ความยาว: 86.4 ซม./34 นิ้ว
- ความกว้าง: 10.6 ซม./4.2 นิ้ว
- น้ำหนัก: 18.6 กรัม
- หน่วยประมวลผล Apple W1
- ฟังได้นานสูงสุด 12 ชั่วโมง
อุปกรณ์ในกล่อง
- หูฟังไร้สาย Beats Flex
- สายชาร์จ USB-C เป็น USB-C
- จุกหูฟังมี 4 ขนาดให้เลือก
- คู่มือเริ่มต้นแบบรวดเร็ว
- ใบรับประกัน

ดีไซน์หูฟัง Beats Flex ให้ความสะดวกสบายในการใช้งานอย่างมากตั้งแต่สายคล้องคอที่มีความแข็งแรงแต่ก็ยืดหยุ่นเพื่อให้รู้สึกไม่หนักคอจนเกินไป โดยสีที่เราได้มาจะเป็นสีดำ ส่วนอีก 3 สีที่มีให้เลือกจะเป็นสีฟ้าเฟลมบลู, สีเทาสโมคเกรย์ และสีเหลืองยูซุ


ในการสวมใส่ Beats Flex ถือว่าทำออกมาได้ดีมากๆ จากการที่เป็นหูแบบ In-Ear แต่ก็ไม่ได้รู้สึกปวดหูเวลาใช้งานไปนานๆ แถมกลับรู้สึกสบายเหมือนกับหูฟังแบบปกติ


ตัวหูฟังด้านซ้ายจะมีทั้งปุ่มหยุด/เล่นเพลง, ไมโครโฟนที่มีตัวกรองลมอยู่ตรง ขณะที่ฝั่งขอบจะเป็นปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง และช่อง USB Type-C สำหรับชาร์จแบตเตอรี่



ส่วนทางขวามีปุ่ม Power และไฟ LED บอกสถานะอยู่
ไฟ LED บอกสถานะแบตเตอรี่
- สีขาว : ใช้ได้มากกว่า 1 ชั่วโมง
- สีแดง : ใช้ได้น้อยกว่า 1 ชั่วโมง
- กะพริบสีแดง: ต้องชาร์จ

ทั้งนี้ ตัวหูฟังด้านหลังจะมีแม่เหล็กที่ยึดติดกันได้เพื่อให้การทำงานทั้งหมดที่ใช้อยู่หยุดลงทันที

การเชื่อมต่อ
ในการเชื่อมต่อครั้งแรกถ้าใครใช้ iPhone/iPad ในตัวหูฟัง Beats Flex จะมีชิพ Apple W1 เพื่อให้เชื่อมต่อได้ทันทีที่เปิดเครื่องโดยแทบไม่ต้องทำอะไรเลยครับ โดยจะแสดงเป็น Pop-Up ขึ้นมาให้เชื่อมต่อบน iPhone/iPad แต่หากใครใช้งานกับสมาร์ทโฟน Android ก็สามารถเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth ได้เหมือนกันครับ แต่จะไม่แจ้งเตือนครั้งแรกเหมือนกับ iPhone (การใช้งานครั้งถัดๆ ไปจะเชื่อมต่ออัตโนมัติทั้ง iOS และ Android)

การควบคุมผ่านปุ่มฝั่งซ้าย
- กด 1 ครั้ง : เล่น/พักเพลง หรือรับ/วางสายโทรศัพท์ หรือรับสายซ้อน
- กด 1 ครั้งและค้างไว้ : วางสายที่โทรเข้ามา / เรียก Siri (สำหรับ iPhone)
- กด 2 ครั้ง : เล่นเพลงถัดไป
- กด 3 ครั้ง : เล่นเพลงก่อนหน้า

การฟังเพลง
สำหรับเสียงในการฟังเพลงของ Beats Flex ถือว่าทำออกได้ดี เสียงของดนตรีและเสียงร้องก็ชัดเจน เสียงมีความใสในตัว แต่ในเรื่องเบสอาจจะไม่ได้หนักมาก ดังนั้น ใครที่ไม่ได้เน้นเรื่องเบสมากเท่าไหร่น่าจะชอบครับ

ทั้งนี้ อย่างที่เราบอกไปตอนต้นถ้าจะต้องการหยุดฟังเพลง ก็แค่เพียงถอดหูออกและแม่เหล็กด้านหลังเครื่องก็จะติดกันทันที ซึ่งจะเป็นการหยุดเล่นโดยอัตโนมัติ

การพูดคุยโทรศัพท์
Beats Flex มีไมโครโฟนในตัวที่ลดการกระทบกับลมเพื่อเพิ่มความคมชัดไปยังปลายสายได้ดี โดยการป้องกันทำได้ดีทั้งระหว่างออกกำลังกายหรืออยู่นอกสถานที่ครับ

การเล่นเกม
ส่วนการเล่นเกมถือว่าทำได้ดีมากๆ ในเรื่องของการหน่วงครับ เพราะมีเทคโนโลยี Class 1 Bluetooth เพื่อให้การหน่วงระหว่างอุปกรณ์ของ Apple และ Beats Flex ลดลง ซึ่งลองในเกม PUBG Mobile ได้ยินเสียงแทบจะเรียลไทม์ ส่วนการแยกแยะเสียงฝั่งต่างๆ ทำได้ดีและชัดเจนครับ ทั้งนี้หากใครที่ใช้ Android ในการเชื่อมต่อก็ไม่ต้องกังวลอะไรครับ เพราะจากที่ลองใช้งานแทบจะไม่ต่างจาก iPhone เลย ถ้าไม่สังเกตจริงๆ ก็ไม่รู้สึกอะไรครับ

แบตเตอรี่ใช้งานได้ทั้งวันจริงๆ
ในเรื่องความอึดของแบตเตอรี่ Beats Flex ทำได้ดีตามที่ระบุครับ โดยใช้งานได้ทั้งช่วงเช้า เที่ยง เย็น และเหลือกลับมาชารืจในตอนกล่างคืนได้สบายๆ

ทั้งนี้ระหว่างวัน ใครที่รีบๆ ก็มีเทคโนโลยีการชาร์จแบบ Fast Fuel ที่ชาร์จเพียง 10 นาที ก็ฟังได้ต่ออีก 1 ชั่วโมงครึ่งเลยทีเดียว

ราคา
สำหรับ Beats Flex มีราคาวางจำหน่ายอยู่ที่ 1,900 บาท ผ่านทางออนไลน์ได้ที่ http://bit.ly/2LpoZPc
-
How To2 สัปดาห์ ago
วิธีเคลียร์ RAM ใน iPhone 12 / 12 Pro / 12 Mini และ 12 Pro Max
-
Apple News1 สัปดาห์ ago
iPhone 13 ยังคงดีไซน์เหมือนเดิม หนาขึ้น และมีรอยบากเล็กลง
-
Featured1 สัปดาห์ ago
รีวิว Redmi Note 9T 5G สมาร์ทโฟนสุดคุ้ม รองรับ 5G, กล้อง 48MP และ Redmi 9T ขุมพลัง Snapdragon 662 แบต 6000mAh
-
Apple News2 สัปดาห์ ago
สรุปความจุแบตเตอรี่ iPhone ทุกรุ่นที่มีรอยบาก
-
IT News2 สัปดาห์ ago
จอมทำลาย JerryRigEverything ประกาศรางวัลสมาร์ทโฟนสุดอึดแห่งปี 2020
-
How To2 สัปดาห์ ago
วิธีแสดงเปอร์เซ็นต์แบตเตอรี่บน iPhone, iPad หรือ iPod touch
-
Android News2 สัปดาห์ ago
OPPO Reno4 สมาร์ทโฟนถ่าย Portrait ดีที่สุดแห่งปี 2020
-
Android News6 วัน ago
เปรียบเทียบสเปค Samsung Galaxy S21 Ultra และ iPhone 12 Pro Max