Connect with us

Featured

รีวิว Redmi Note 13 Series สามน้องใหม่จาก Redmi ที่จะทำให้คุณ “โดดเด่นในทุกช็อต” กับกล้องสูงสุด 200MP | หน้าจอ AMOLED 120Hz | ดีไซน์สวยพรีเมี่ยมมีเอกลักษณ์!

Published

on

รีวิว Redmi Note 13 Series น้องใหม่ล่าสุดจาก Redmi ที่รอบนี้ยกทัพกันมาถึง 3 รุ่นคือ Redmi Note 13 Pro+ 5G , Redmi Note 13 5G และ Redmi Note 13 พร้อมสโลแกนน่าสนใจ Every Shot Iconic “โดดเด่นในทุกช็อต” จัดเต็มมาด้วยกล้องหลังความละเอียดสูงสุด 200MP, ชิปเซ็ตทรงพลัง, หน้าจอ AMOLED 120Hz, แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5000mAh และอีกเพียบ! เป็นซีรีส์สุดคุ้มที่ตอบโจทย์ในกลุ่มราคาประหยัดถึง Super Mid-Range ได้สบาย ๆ

รีวิว Redmi Note 13

น่าจะอยากรู้แล้วว่าแต่ละรุ่นมีทีเด็ดสมกับสโลแกน “โดดเด่นในทุกช็อต” รึเปล่า ถ้าพร้อมแล้วมาติดตามรีวิวของ Redmi Note 13 Series ไปพร้อม ๆ กันเลยครับ!

สรุปสเปค Redmi Note 13 Pro+ 5G

  • ขนาดตัวเครื่อง : 161.4 x 74.2 x 8.9 มม.
  • น้ำหนัก : 199 กรัม
  • หน้าจอ : CrystalRes AMOLED ขนาด 6.67″
  • ความละเอียด : 1.5K (2712 x 1220 พิกเซล) ความสว่างสูงสุด 1800nits
  • Refresh rate : 120Hz
  • CPU : MediaTek Dimensity 7200-Ultra Octa-Core 2.8GHz (4nm)
  • GPU : Mali-G610
  • RAM : 8GB/12GB (LPDDR5)
  • ROM : 256GB/512GB (UFS 3.1)
  • แบตเตอรี่ : 5000mAh
  • ระบบชาร์จ : ชาร์จไวเร็ว 120W HyperCharge
  • กล้องหน้า : 16MP f/2.45
  • กล้องหลัง : 3 ตัว
    • 200MP กล้องหลัก Ultra-High Res (ISOCELL HP3 ขนาด 1/1.4″) f/1.65, OIS
    • 8MP กล้อง Ultra Wide f/2.2 
    • 2MP กล้อง Macro f/2.4
  • การเชื่อมต่อ : 5G, WiFi 6, Bluetooth 5.3, NFC, IR Blaster และพอร์ต USB-C
  • ระบบรักษาความปลอดภัย : In-screen fingerprint Unlock, AI Face Unlock
  • มาตรฐานกันน้ำ : IP68
  • ระบบปฏิบัติการ : Android 13 (MIUI 14)
  • สีสัน : Midnight Black, Moonlight White และ Aurora Purple
รีวิว Redmi Note 13

สรุปสเปค Redmi Note 13 5G

  • ขนาดตัวเครื่อง : 161.11 x 74.95 x 7.6 มม.
  • น้ำหนัก : 174.5 กรัม
  • หน้าจอ : AMOLED ขนาด 6.67″
  • ความละเอียด : FHD+ (2400 x 1080 พิกเซล) ความสว่างสูงสุด 1000nits
  • Refresh rate : 120Hz
  • CPU : MediaTek Dimensity 6080 Octa-Core 2.4GHz (6nm)
  • GPU : Mali-G57
  • RAM : 8GB/12GB (LPDDR4X)
  • ROM : 256GB/512GB (UFS 2.2)
  • microSD : รองรับสูงสุด 1TB
  • แบตเตอรี่ : 5000mAh
  • ระบบชาร์จ : ชาร์จเร็ว 33W Fast Charging
  • กล้องหน้า : 16MP
  • กล้องหลัง : 3 ตัว
    • 108MP กล้องหลัก f/1.75
    • 8MP กล้อง Ultra Wide-angle f/2.2 
    • 2MP กล้อง Macro f/2.4
  • การเชื่อมต่อ : 5G, WiFi 2.4GHz, 5GHz, Bluetooth 5.3, NFC, IR Blaster และพอร์ต USB-C
  • ระบบรักษาความปลอดภัย : Side fingerprint sensor, AI Face Unlock
  • มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น : IP54
  • ระบบปฏิบัติการ : Android 13 (MIUI 14)
  • สีสัน : Graphite Black, Ocean Teal และ Arctic White
รีวิว Redmi Note 13

สรุปสเปค Redmi Note 13

  • ขนาดตัวเครื่อง : 62.24 x 75.55 x 7.97 มม.
  • น้ำหนัก : 188.5 กรัม
  • หน้าจอ : AMOLED ขนาด 6.67″
  • ความละเอียด : FHD+ (2400 x 1080 พิกเซล) ความสว่างสูงสุด 1800nits
  • Refresh rate : 120Hz
  • CPU : Snapdragon 685 Octa-Core 2.8GHz (6nm)
  • GPU : Adreno 610
  • RAM : 8GB (LPDDR4X)
  • ROM : 256GB (UFS 2.2)
  • microSD : รองรับสูงสุด 1TB
  • แบตเตอรี่ : 5000mAh
  • ระบบชาร์จ : ชาร์จไวเร็ว 33W Fast Charging
  • กล้องหน้า : 16MP
  • กล้องหลัง : 3 ตัว
    • 108MP กล้องหลัก f/1.75
    • 8MP กล้อง Ultra Wide-angle f/2.2 
    • 2MP กล้อง Macro f/2.4
  • การเชื่อมต่อ : 4G LTE, WiFi 2.4GHz, 5GHz, Bluetooth 5.1, NFC, IR Blaster และพอร์ต USB-C
  • มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น : มาตรฐาน IP54
  • ระบบปฏิบัติการ : Android 13 ครอบทับด้วย MIUI 14
  • สีสัน : Midnight Black, Mint Green และ Ocean Sunset
รีวิว Redmi Note 13

แกะกล่อง Redmi Note 13 Series

ก่อนจะไปชมตัวเครื่องแต่ละรุ่น เรามาแกะกล่องเช็กอุปกรณ์ในกล่องกันก่อนรวดเดียว 3 รุ่นเลยดีกว่าเนาะ ที่ด้านหน้ากล่องจะมีภาพประกอบตัวเครื่องครบ ส่วนสีสันที่แสดงที่หน้ากล่องจะแตกต่างกันออกไปซึ่งอาจจะไม่ใช่สีที่อยู่ข้างในจริง ๆ ก็ได้

รีวิว Redmi Note 13

อันนี้ต้องมาเช็กที่ล่างกล่องอีกทีนะครับว่าเครื่องที่เราซื้อจริง ๆ เป็นสีอะไร อย่างในที่นี้ Redmi Note 13 เราได้สี Ocean Sunset มาแต่ที่หน้ากล่องจะโชว์สี Midnight Black แทน

รีวิว Redmi Note 13

สำหรับอุปกรณ์ที่ให้มาในกล่องของทั้ง 3 รุ่นจะให้ของมาเท่ากันเลย 6 อย่างประกอบด้วย

  1. ตัวเครื่อง Redmi Note 13 Pro+ 5G | Redmi Note 13 5G | Redmi Note 13
  2. เคสซิลิโคน
  3. สายชาร์จ
  4. อะแดปเตอร์ชาร์จเร็ว 120W HyperCharge | 33W Fast Charging
  5. เอกสารคู่มือ
  6. เข็มจิ้มถาดซิม
รีวิว Redmi Note 13
รีวิว Redmi Note 13

Redmi Note 13 Series ดีไซน์ที่โดดเด่นในทุกช็อต

ได้เวลายลโฉม Redmi Note 13 Series กันแล้วครับ ทั้ง 3 รุ่นนั้นมีดีไซน์ที่แตกต่างกันชัดเจน โดยเฉพาะรุ่นพี่ใหญ่ Redmi Note 13 Pro+ 5G แต่ก็ยังคงเอกลักษณ์ของซีรีส์ที่มีจุดเชื่อมโยงและทำให้เข้ากันได้อย่างดีเหมือนกัน และด้วยความแตกต่างกันในรายละเอียดบางอย่าง เราขอพาชมไปทีละรุ่นเลยละกันเนาะ

รีวิว Redmi Note 13

Fusion Design ของ Redmi Note 13 Pro+ 5G

เริ่มจาก Redmi Note 13 Pro+ พี่ใหญ่ที่โดดเด่นที่สุดก่อนเลยละกัน รุ่นนี้จะมาพร้อมกับดีไซน์จอ-ฝาหลังที่ให้ความพรีเมี่ยม ยกระดับการออกแบบระดับเรือธง แถมที่ด้านหลังยังใช้ Fusion Design เราจะเห็นลวดลายฝาหลังที่เรียงกันเป็น Pattern แทรกสีสันที่แตกต่างกันได้อย่างลงตัว

รีวิว Redmi Note 13

อย่างในสีม่วง Aurora Purple ที่เราได้มาจะมีการเรียงของสีที่บริเวณส่วนบนทั้ง ฟ้า, เทา, เขียวอ่อน พอบวกกับสีม่วงของส่วนล่างก็เป็นสีสันที่มีเอกลักษณ์และไม่ค่อยได้เห็นบ่อย ๆ ด้วย ส่วนผิวสัมผัสฝาหลังก็เป็นกระจกผิวด้านที่เนียนมือให้ความรู้สึกพรีเมี่ยมไม่น้อยเลยด้วย

รีวิว Redmi Note 13

หน้าจอของ Redmi Note 13 Pro+ 5G ก็จะเป็นจอโค้งอย่างที่บอกไปซึ่งนี่เป็นครั้งแรกของ Redmi Note Series เลยก็ว่าได้ครับ ทำให้ตัวเครื่องดูเรียบหรูและมอบประสบการณ์การใช้ที่น่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีกครับ

รีวิว Redmi Note 13

ดีไซน์กรอบเหลี่ยมของ Redmi Note 13 5G

รีวิว Redmi Note 13 Series มาต่อกันกับ Redmi Note 13 5G จะมาพร้อมดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ของ Redmi Note Series คือกรอบเครื่องเหลี่ยม ฝาหลังผิวด้านที่ให้ความรู้สึกพรีเมี่ยมบวกกับสีสันไฮไลท์เป็นสีฟ้า Ocean Teal ที่มีความโดดเด่นไม่น้อยเลยล่ะ

รีวิว Redmi Note 13

หน้าจอก็เป็นแบบแบนพร้อมขอบจอบางเฉียบ ซึ่งไม่เพียงแต่ให้ความรู้สึกพรีเมียมเท่านั้นแต่ยังมอบประสบการณ์การรับชมอย่างดื่มดำอีกด้วย

รีวิว Redmi Note 13

สีสันอันเป็นเอกลักษณ์บน Redmi Note 13

ส่วนรุ่นน้องเล็ก Redmi Note 13 ก็จะมาในดีไซน์คล้ายกับ Redmi Note 13 5G เลยคือกรอบเหลี่ยมหน้าจอแบน แต่ความโดดเด่นของรุ่นนี้คือสีสันที่บอกเลยว่าทำออกมาได้สะดุดตาสุด ๆ อย่างสีทอง Ocean Sunset ที่เราได้มานั้น เป็นสีทองพร้อมลวดลายเหมือนแสงอาทิตย์ตกสะท้อนบนผืนน้ำทะเล ที่มองกี่ทีก็รู้สึกถึงความพิถีพิถันในการออกแบบจริง ๆ ยิ่งเวลากระทบกับแสงก็จะได้ลวดลายที่ต่างกันออกไปด้วย

รีวิว Redmi Note 13

ที่หน้าจอแบบแบนก็ยังมีขอบจอบางเฉียบ มอบประสบการณ์การรับชมที่สมจริง ไม่ว่าจะเป็นการดูคอนเทนต์ การเล่นเกม หรือท่องเว็บไซต์สื่อโซเชียลอื่น ๆ ด้วย

รีวิว Redmi Note 13

อย่างที่บอกครับทั้ง 3 รุ่นมีดีไซน์ที่โดดเด่นไม่แพ้กันสมกับสโลแกน “โดดเด่นในทุกช็อต” จริง ๆ จุดที่คงเอกลักษณ์ของ Redmi Note 13 Series ไว้ได้เหมือนกันก็คือ Pattern ตรงส่วนกล้องนี่แหละ ดีทั้ง 3 รุ่นเลยว่าไหม ?

รีวิว Redmi Note 13

หน้าจอ AMOLED ทั้ง 3 รุ่น

มาต่อที่เรื่องหน้าจอกันบ้าง Redmi Note 13 Series ทั้ง 3 รุ่นจะได้หน้าจอ AMOLED ขนาด 6.67″ มาเหมือนกัน แต่บนรุ่น Redmi Note 13 Pro+ 5G จะได้จอโค้ง ส่วนอีก 2 รุ่นที่เหลือจะเป็นจอแบนครับผม

รีวิว Redmi Note 13

เช่นเดียวกับความละเอียดที่ Redmi Note 13 Pro+ 5G จะให้มาสูงถึง 1.5K ซึ่งมอบความคมชัดสูง ดูคอนเทนต์นี่ชัดจัด ถึงใจ แถมยังมีความสว่างสูงสุดถึง 1800nits อีกด้วย นี่จอเกรดเรือธงชัด ๆ เลยนะ

รีวิว Redmi Note 13

ส่วน Redmi Note 13 5G และ Redmi Note 13 จะได้ความละเอียดที่ FHD+ และความสว่างสูงสุดที่ 1000nits ซึ่งเราว่าก็เพียงพอต่อการใช้งานแล้วเหมือนกันครับ สีสันที่จูนออกมาของ 2 รุ่นนี้จะต่างกันนิดหน่อยบน Redmi Note 13 5G จะออกเข้มสมจริง ส่วนฝั่ง Redmi Note 13 จะสดใสอมเหลืองกว่านิดหน่อยครับ

รีวิว Redmi Note 13

Refresh rate 120Hz ลื่นไหลเหมือนกันหมด

ส่วนเรื่องการตอบสนอง Redmi Note 13 Series ทั้ง 3 รุ่นนี้จะได้ Refresh rate สูงสุด 120Hz เท่ากัน ทำให้ได้ประสบการณ์ที่ลื่นไหลเวลาเลื่อนหน้าจอ เข้าแอป หรือเล่นเกมก็ถูกใจแน่นอนครับ

รีวิว Redmi Note 13

รอบเครื่องตำแหน่งคล้ายกัน

รอบ ๆ ตัวเครื่องของ Redmi Note 13 Series จะวางตำแหน่งคล้ายกัน อย่างปุ่มกดก็จะอยู่ที่ฝั่งขวามือของตัวเครื่องทั้งหมด แบ่งเป็นปุ่มเพิ่ม-ลดเสียงและปุ่ม Power

รีวิว Redmi Note 13

ส่วนด้านซ้ายจะเรียบ ๆ แต่บนรุ่น Redmi Note 13 5G จะมีช่องใส่ซิมอยู่ด้วย ในขณะที่ Redmi Note 13 Pro+ 5G และ Redmi Note 13 จะอยู่ที่ด้านล่างของตัวเครื่องแทนครับผม

รีวิว Redmi Note 13

พอร์ตการเชื่อมต่อหลักจะเป็น USB-C ทั้งหมดอยู่ตำแหน่งด้านล่างพร้อมช่องไมโครโฟนและลำโพงหลักของตัวเครื่อง

รีวิว Redmi Note 13

ส่วนด้านบนตัวเครื่องทั้ง 3 รุ่นจะมี IR Blaster มาให้เหมือนกัน บน Redmi Note 13 และ Redmi Note 13 5G จะมีช่องเสียงหูฟัง 3.5 มม.มาด้วย และเฉพาะ Redmi Note 13 กับ Redmi Note 13 Pro+ 5G จะมีลำโพงอีกชุดด้านบนตัวเครื่องเพื่อใช้งานร่วมกับลำโพงด้านล่างเพื่อเป็นลำโพง Stereo ด้วยครับ

รีวิว Redmi Note 13

ลำโพงคู่เสียงเร้าใจพร้อมรองรับ Dolby Atmos

อย่างที่เห็นไปว่า Redmi Note 13 Pro+ และ Redmi Note 13 นั้นจะมาพร้อมลำโพงคู่บน-ล่าง นอกจากนี้ยังไม่พอเพราะทั้งคู่ยังรองรับระบบเสียง Dolby Atmos ให้เราได้เต็มอิ่มกับคุณภาพเสียงอันทรงพลัง มอบประสบการณ์เสียงที่เร้าใจรอบทิศทางอย่างลงตัว!

รีวิว Redmi Note 13

มีครบทั้งสแกนลายนิ้วมือและสแกนใบหน้า

ในเรื่องระบบรักษาความปลอดภัย Redmi Note 13 และ Redmi Note 13 Pro+ จะได้ระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ (In-screen Fingerprint sensor) ให้เราได้แตะสแกนที่ด้านหน้าได้อย่างรวดเร็ว และคล่องตัว

รีวิว Redmi Note 13

ส่วน Redmi Note 13 5G จะได้ระบบสแกนลายนิ้วมือที่ด้านข้างตัวเครื่องแทน ความรวดเร็วก็ถือว่ายอดเยี่ยมครับ หยิบปุ๊บแตะนิ้วที่ด้านข้างก็สแกนได้เลย ดีกันคนละอย่างเนาะ

รีวิว Redmi Note 13

แต่ Redmi Note 13 Series ทั้ง 3 รุ่นก็ยังมีตัวเลือกระบบสแกนใบหน้ามาให้เลือกใช้เหมือนกันด้วย ใครที่ถนัดสแกนใบหน้าปลดล็อคก็ตั้งค่ากันได้เช่นกันครับ

รีวิว Redmi Note 13

ตัวเครื่องทนทาน มีมาตรฐานกันน้ำด้วยนะ

เรื่องความทนทาน Redmi Note 13 Pro+ 5G จะมาพร้อมกระจกกันรอยหน้าจอ Gorilla Glass Victus สุดแกร่ง ทนต่อการตกแตกได้ดี รวมถึงยังมีความสามารถในการกันน้ำกันฝุ่นที่มาตรฐาน IP68 อีกด้วย ไม่ใช่แค่กันละอองน้ำแต่ลงน้ำได้ที่ความละเอียด 1.5 เมตรนาน 30 นาทีเลยล่ะ

รีวิว Redmi Note 13

ส่วนรุ่นน้องอีก 2 รุ่น จะลดหย่อนเรื่องความทนทานลงมาหน่อย แต่ก็ถือว่าได้มาตรฐานอย่างดีมาอยู่ ทั้งจอ Gorilla Glass และกันน้ำกระเด็น IP54 บน Redmi Note 13 และหน้าจอ Gorilla Glass 5 พร้อมมาตรฐานกันน้ำกระเด็น IP54 บน Redmi Note 13 5G อีกด้วยครับ

กล้องคมชัดสูงสุดระดับ 200MP

มาต่อในเรื่อง “กล้อง” ที่เป็นไฮไลท์ของ Redmi Note 13 Series เลยดีกว่า ทั้ง 3 รุ่นมาพร้อมกล้องหลัง 3 ตัว และกล้องหลักความละเอียดสูงเกิน 100MP ทั้งหมด สมกับสโลแกน “โดดเด่นในทุกช็อต” อีกหนึ่งเรื่อง

โดย Redmi Note 13 Pro+ 5G จะจัดเต็มด้วยกล้องหลักความละเอียด 200MP (เซ็นเซอร์ ISOCELL HP3 ขนาดใหญ่ 1/1.4″) พร้อมกล้องเสริมเป็น Ultra Wide 8MP f/2.2 และ Macro 2MP f/2.4 เลยด้วย จัดเต็มสมกับเป็นรุ่นพี่ใหญ่ล่ะว่าไหม!?

ส่วน Redmi Note 13 5G และ Redmi Note 13 จะได้กล้องหลัก 108MP + กล้อง Ultra Wide 8MP + กล้อง Macro เหมือนกัน เรียกว่าให้มาไม่กั๊กตั้งแต่รุ่นเริ่มต้นเลยนะเนี่ย!

กล้องหลักสวยคม เด่นกันคนละช็อต

รีวิว Redmi Note 13 Series ในส่วนของซอฟต์แวร์กล้อง Redmi Note 13 Series ทั้งหมดจะมี AI คอยประมวลผลซีนของภาพเหมือนกันรวมถึงระบบ Auto HDR ด้วย คุณภาพของกล้องหลักก็ทำได้ดีทั้ง 3 รุ่นแหละครับ ด้วยความที่กล้องหลักความละเอียดสูง แต่จุดที่แตกต่างกันคือโทนของภาพที่ถ้าเปรียบง่าย ๆ Redmi Note 13 จะถ่ายออกมาในโทนสีสดจัดจ้าน, Redmi Note 13 5G ก็ยังมีสีจัดอยู่บ้างอมม่วงนิดหน่อย ส่วน Redmi Note 13 Pro+ 5G จะออกมาในโทนสมจริงกับที่ตาเห็นมากที่สุดจัดการ Dynamic Range ได้ดีที่สุด และความที่เซ็นเซอร์ใหญ่สุดเวลาเราถ่ายก็จะได้การละลายฉากหลังที่เนียนตามากที่สุดอีกด้วยครับ

ตัวอย่างภาพถ่ายเรียงจาก Redmi Note 13 | Redmi Note 13 5G | Redmi Note 13 Pro+ 5G

รีวิว Redmi Note 13
รีวิว Redmi Note 13
รีวิว Redmi Note 13
รีวิว Redmi Note 13
รีวิว Redmi Note 13
รีวิว Redmi Note 13

กล้องหลักดี ซูม In-Sensor ได้อีก

อย่างที่บอกไปว่ากล้องหลักของ Redmi Note 13 Series นั้นมีแต่ความละเอียดสูง ๆ ระดับ 100MP+ ทำให้เราสามารถใช้ความสามารถซูมแบบ In-Sensor ในระดับ 2x ได้แบบคมชัด ไม่เสียรายละเอียดไปมาก ช่วยเพิ่มระยะในการเข้าถึงภาพได้มากขึ้นจริง ๆ ถ่ายสนุกขึ้นไปอีก

รีวิว Redmi Note 13
รีวิว Redmi Note 13
รีวิว Redmi Note 13
รีวิว Redmi Note 13
รีวิว Redmi Note 13
รีวิว Redmi Note 13
รีวิว Redmi Note 13
รีวิว Redmi Note 13
รีวิว Redmi Note 13
รีวิว Redmi Note 13

ยิ่งถ้าเป็น Redmi Note 13 Pro+ 5G จาก 2x ก็ยังเขยิบไปที่ 4x ได้แบบสบาย ๆ มีกล้องหลักความละเอียดสูงตัวเดียวสามารถใช้งานได้ครอบคลุมทุกช่วง ไม่เกินจริงครับ

เปรียบเทียบภาพระยะ 1x > 2x > 4x จาก Redmi Note 13 Pro+ 5G

รีวิว Redmi Note 13
รีวิว Redmi Note 13
รีวิว Redmi Note 13

มีโหมดความละเอียดเต็ม ใช้ครอปเฉพาะส่วนเพิ่มก็ได้

ลืมบอกไปว่าในโหมด Photo ทั่วไปกล้องหลักของ Redmi Note 13 Series จะถ่ายมาที่ความละเอียด 12MP แต่ด้วยวิธีการรวมพิกเซลจากมาก ๆ มาเป็น 12MP จึงได้คุณภาพที่ยอดเยี่ยมไปด้วย แต่ถ้าใครที่อยากได้ความละเอียดเต็มจากเซ็นเซอร์เลย ก็มีโหมด 200MP (Redmi Note 13 Pro+) กับ 108MP (Redmi Note 13 5G | Redmi Note 13) มาให้เลือกใช้งานเช่นกัน ซึ่งในโหมดถ้าเราถ่ายมาจะได้ไฟล์ที่ใหญ่มาก เพียงพอต่อการมาครอปบางส่วนเพื่อใช้งานเป็นภาพใหม่ได้เลย

รีวิว Redmi Note 13

หรือถ้าอยากดูรายละเอียดบางอย่างจากในภาพขนาดใหญ่ก็สามารถขยายเข้าไปเพื่อและครอปเพื่อไปใช้งานได้อีกด้วยนะ ก็ความละเอียดระดับ 108MP กับ 200MP ทั้งทีครอปได้ระดับ 600% หรือ 1000% ได้สบาย ๆ

รีวิว Redmi Note 13
รีวิว Redmi Note 13

กล้อง Ultra Wide มุมกว้างถูกใจ

ส่วนกล้อง Ultra Wide ทั้ง 3 รุ่นจะมีความละเอียดเท่ากันแล้วที่ 8MP แต่ภาพที่ออกมาจะแตกต่างกันนิดหน่อย หลัก ๆ จะเป็นเรื่องแสงที่จัดการได้ดีแตกต่างกันไปในแต่ละสถานการณ์ ส่วนความละเอียดระดับนี้ก็ถือว่าเพียงพอในการใช้งานทั่วไปแล้วล่ะครับ

กล้อง Macro ก็มี ถ่ายดอกไม้ วัตถุใกล้ ๆ ดีเลย

และกล้องเสริมตัวที่ 3 อย่างกล้อง Macro ก็ให้ติดมาด้วย ตรงนี้จะเห็นความต่างแบบมากขึ้นหน่อย คือบน Redmi Note 13 Pro+ 5G นั้นจะโดดเด่นด้วยคุณภาพที่คมชัดที่สุด ถ่ายในแสงน้อยก็ยังโอเค ในขณะที่ Redmi Note 13 5G จะลดหย่อนลงมา จับภาพได้แม่นและเก็บรายละเอียดได้ดีเมื่อถ่ายในที่แสงเพียงพอ ส่วน Redmi Note 13 ก็จะถ่ายได้ดีเมื่อมีแสงที่เพียงพอครับ

Portrait เบลอสวย สกินโทนดีตามสไตล์

รีวิว Redmi Note 13 Series มาปิดท้ายกล้องหลังด้วยภาพ Portrait หรือโหมดถ่ายคน ที่ดึงคาแร็คเตอร์ของกล้องหลังมาเหมือนเดิมทั้งโทนสีที่มีเอกลักษณ์ในแต่ละรุ่นชัดเจน Redmi Note 13 ออกโทนสดใส, Redmi Note 13 5G สีเข้มคอนทราสจัด และ Redmi Note 13 Pro+ 5G จะออกโทนอมชมพูละมุน เรื่องการละลายหลังรุ่น Pro+ 5G ก็จะเด่นที่สุด ดึงสีสันฉากหลังและเสริมโบเก้ได้เยอะครับ

เซลฟี่ด้วยกล้องหน้า 16MP เหมือนกัน

และที่กล้องหน้า Redmi Note 13 Series ได้กล้องหน้า 16MP มาเท่ากันเลย ถ้าดูจากสเปคแล้วก็แอบเป็นตัวเดียวกันเลยแหละ แต่ภาพที่ได้จะเป็นโทนเหมือนกล้องหลังครับ มีสีสันเฉพาะในแต่ละรุ่น

โดยรวมเรื่องกล้องของ Redmi Note 13 Series ก็ถือว่าทำได้ยอดเยี่ยม ด้วยฮาร์ดแวร์กล้องหลักความละเอียดสูงที่ให้ภาพคมชัด ใช้งานทดแทนระยะซูม 2x – 4x ได้ ซอฟต์แวร์ที่ปรับภาพได้สวยโดดเด่น ใช้งานได้ครอบคลุมในทุกสถานการณ์ เป็นอีกครั้งที่ Redmi Note Series ทำให้เราประทับใจได้ไม่น้อยเลย ไม่แปลกใจที่เลือกสโลแกน “โดดเด่นในทุกช็อต” จริง ๆ ครับ

ชิปเซ็ตรุ่นกลางประสิทธิภาพสูง

มาต่อในเรื่องประสิทธิภาพกันบ้าง Redmi Note 13 Series มาพร้อมชิปเซ็ตรุ่นกลางที่มีประสิทธิภาพสูงดังนี้เลย

  • Redmi Note 13 ใช้ชิปเซ็ต Snapdragon 685 Octa-Core 2.8GHz (6nm) รองรับ 4G
  • Redmi Note 13 5G ใช้ชิปเซ็ต Dimensity 6080 Octa-Core 2.4GHz (6nm) รองรับ 5G
  • Redmi Note 13 Pro+ 5G ใช้ชิปเซ็ต Dimensity 7200-Ultra Octa-Core 2.8GHz (4nm) รองรับ 5G

ส่วนเรื่องความจุภายในทั้ง 3 รุ่นเริ่มต้นที่ 8GB + 256GB เหมือนกันหมด Redmi Note 13 จะมีให้เลือกความจุเดียว ส่วน Redmi Note 13 5G กับ Redmi Note 13 Pro+ 5G จะมีความจุ 12GB + 512GB ให้เลือกด้วยครับ

สำหรับความแรงของ Redmi Note 13 Series ก็จะแบ่งไปตามระดับอย่างที่บอกไป ซึ่งเราลองทดสอบให้เห็นภาพคร่าว ๆ ก็ออกมาดังนี้เลยครับ

คะแนน AnTuTu Benchmark ของ Redmi Note 13 Series

  • Redmi Note 13 = 333867 คะแนน
  • Redmi Note 13 5G = 432632 คะแนน
  • Redmi Note 13 Pro+ 5G = 748783 คะแนน

คะแนน Geekbench 6 ของ Redmi Note 13 Series

  • Redmi Note 13 = Single-Core 477 คะแนน | Multi-Core 1533 คะแนน
  • Redmi Note 13 5G = Single-Core 717 คะแนน | Multi-Core 1823 คะแนน
  • Redmi Note 13 Pro+ 5G = Single-Core 1121 คะแนน | Multi-Core 2575 คะแนน

เล่นเกมสบาย ๆ สเปคนี้

ส่วนการเล่นเกมด้วยสเปคของ Redmi Note 13 Series ที่ให้มานั้นถือว่าเล่นเกมในระดับกลางได้สบาย ๆ อย่างที่เราทดสอบคือ Asphalt 9 บน Redmi Note 13 Series ทั้ง 3 รุ่นสามารถเลือกเปิด 60fps ได้หมด ถือว่าเล่นได้แบบลื่น ๆ เลยนะ

แบตเตอรี่ 5000mAh ถึงใจใช้งานได้ไม่ต้องกังวล

Redmi Note 13 Series ทั้ง 3 รุ่น มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5000mAh ใช้งานได้ถึงใจ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการชาร์จบ่อย ๆ เหมาะสำหรับการใช้งานที่หนัก เช่น การเล่นเกมนาน ๆ การสตรีมวิดีโอ หรือเล่นโซเชี่ยลแบบต่อเนื่องจริง ๆ ครับ

ชาร์จเร็วสูงสุดที่ 120W

ส่วนเรื่องชาร์จเร็ว Redmi Note 13 Series ก็ได้ระบบชาร์จเร็วมาแตกต่างกันนิดหน่อยประกอบด้วย

  • Redmi Note 13 ชาร์จเร็ว 33W Fast Charging
  • Redmi Note 13 5G ชาร์จเร็ว 33W Fast Charging
  • Redmi Note 13 Pro+ 5G ชาร์จเร็ว 120W HyperCharge

ซึ่งเป็นระบบชาร์จเร็วที่เพียงพอมาก ๆ บนรุ่น Redmi Note 13 และ Redmi Note 13 5G ชาร์จไม่นานก็มีแบตฯกลับมาใช้งานต่อได้แล้ว ส่วนรุ่นพี่ใหญ่ Redmi Note 13 Pro+ 5G ได้ชาร์จเร็วระดับ 120W มาเลย เคลมว่าชาร์จเต็มในเวลาแค่ 19 นาทีเท่านั้น และเหนือสิ่งอื่นใดทั้ง 3 รุ่นจะมีที่ชาร์จแถมมาในกล่องด้วยไง ไม่ต้องซื้อแยกนะจ๊ะ

ยังเป็น MIUI 14 บน Android 13

ปิดท้ายที่เรื่องระบบปฏิบัติการ Redmi Note 13 Series มาพร้อม MIUI 14 ที่ครอบทับบน Android 13 เช่นเดียวกับสมาร์ทโฟน Xiaomi ในรุ่นใหม่ ๆ มีความลื่นไหลและการปรับแต่งที่น่าสนใจ อาจจะยังไม่ได้ใหม่ล่าสุดถึง HyperOS แต่ก็ถือว่าให้ลูกเล่นที่น่าสนใจมาครบไม่น้อยแล้วครับ

ราคาเปิดตัว Redmi Note 13 Series และโปรโมชั่น

สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุดก็คือเรื่องราคาและโปรโมชั่นของ Redmi Note 13 Series โดย Redmi Note 13 จะมีให้เลือกความจุเดียวคือ 8GB + 256GB ส่วน Redmi Note 13 5G และ Redmi Note 13 Pro+ 5G จะมีให้เลือก 2 ความจุคือ 8GB + 256GB และ 12GB + 512GB มีราคาดังนี้เลย

  • Redmi Note 13 (8GB + 256GB) ราคา 6,999 บาท
  • Redmi Note 13 5G (8GB + 256GB) ราคา 7,999 บาท
  • Redmi Note 13 5G (12GB +512GB) ราคา 9,999 บาท
  • Redmi Note 13 Pro+ 5G (8GB + 256GB) ราคา 13,990 บาท
  • Redmi Note 13 Pro+ 5G (12GB +512GB) ราคา 15,990 บาท

โดยจะมีโปรโมชั่นสำหรับ Redmi Note 13 และ Redmi Note 13 5G ได้รับเป็น Portable Bluetooth Speaker มูลค่า 690 บาท ส่วน Redmi Note 13 Pro+ 5G รับโปรเพิ่มความจุฟรีมูลค่า 2,000 บาท, ประกันจอแตกนาน 6 เดือน, Goftbox มูลค่ารวม 7,280 บาทด้วยครับ

สรุปแล้ว “นี่คือสมาร์ทโฟนที่โดดเด่นในทุกช็อตกับราคาที่เข้าถึงได้”

สรุปแล้ว รีวิว Redmi Note 13 Series ก็ถือว่าเป็นรุ่นสุดคุ้มใหม่จาก Xiaomi ที่ให้สเปคมาตอบโจทย์การใช้งานหลาย ๆ ด้านอย่างมาก ตั้งแต่หน้าจอ AMOLED ลื่นไหลระดับ 120Hz แสดงผลสวย คมชัด, ชิปเซ็ตประสิทธิภาพเยี่ยม, แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5000mAh พร้อมชาร์จเร็วสูงสุด 120W, ดีไซน์ที่สวยงามพรีเมี่ยมมีเอกลักษณ์ในทุกรุ่น และที่ขาดไม่ได้เลยคือกล้องหลังความละเอียดสูงระดับ 100MP – 200MP ใช้งานได้ครอบคลุมและมอบความโดดเด่นให้ทุกการถ่ายภาพในระดับราคานี้จริง ๆ เป็นอีก 3 รุ่นที่เราคิดว่า “โดดเด่นในทุกช็อต” ในงบราคานี้จริง ๆ ครับ!

กำลังฮอต

Featured5 วัน ago

รีวิว Redmi Note 13 Pro 5G สมาร์ทโฟนที่ใช้ขุมพลังตัวท็อป SD 7s Gen 2 พร้อมกล้องหลัง 200MP และชาร์จไว 67W 

รีวิว Redmi Note 13 ...

HUAWEI Band 9 ราคาเริ่มต้น 1,299 บาท HUAWEI Band 9 ราคาเริ่มต้น 1,299 บาท
Featured1 สัปดาห์ ago

5 ข้อควรรู้ก่อนเลือกซื้อสมาร์ทแบนด์ กับความครบเครื่องของ HUAWEI Band 9 สมาร์ทแบนด์ที่เชื่อมต่อสมาร์ทโฟนได้ทุกรุ่น ดูแลสุขภาพยืนหนึ่งในราคาเริ่มต้น 1,299 บาท

ใครที่อยู่ในช่วงเริ่...

Apple News2 สัปดาห์ ago

AIS เปิดบริการ AIS Care+ with AppleCare Services รายแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ให้ผู้ใช้อุ่นใจมากขึ้น สบายใจที่สุด

AIS คว้า AppleCare S...

Featured1 เดือน ago

รีวิว vivo Y100 5G สนุกกับสเปกเต็ม 100 ด้วยขุมพลัง SD 4 Gen 2 5G ดีไซน์อัปเกรดสุดพรีเมียม พร้อมชาร์จเร็ว 80W FlashCharge

รีวิว vivo Y100 5G น...

Featured1 เดือน ago

รีวิว realme 12+ 5G | realme 12 Pro+ 5G “Be a Portrait Master” ด้วยกล้อง Periscope ระดับเรือธง | ดีไซน์นาฬิกาหรู | ชาร์จไว 67W SUPERVOOC

รีวิว realme 12+ 5G ...

Copyright © 2012 iphone-droid.net.

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ ดูเพิ่มเติมที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และจัดการได้ที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึก