รีวิว vivo X300 Series “เรือธงกล้องทรงพลัง” ZEISS 200MP | ชิป Dimensity 9500 | OriginOS 6

โดย Map

รีวิว vivo X300 Series มาแล้วครับ! เป็น “เรือธงกล้องทรงพลัง” ที่มีพร้อม Tagline “แค่คลิก ซูมชิดติดเวที” แน่นอนว่ายังคงชูจุดเด่นเรื่องกล้องซูมสำหรับงานคอนเสิร์ตอีกเหมือนเคย แต่สเปกด้านอื่น ๆ ก็มีการอัปเกรดขึ้นมาทุกด้านเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์ใหม่หมด, ประสิทธิภาพที่ถึงใจยิ่งขึ้น หรือซอฟต์แวร์ที่ใช้ OriginOS 6 มาตั้งแต่แกะกล่อง พร้อมฟีเจอร์ AI ใหม่ ๆ อีกเพียบ!

และหลังจากที่เราได้ลองใช้งานกันจริงจังกว่า 2 สัปดาห์ ได้ลองกล้องในหลายสถานการณ์ ทดสอบประสิทธิภาพโดยรวม หรือจะประสบการณ์ของระบบปฏิบัติการใหม่ด้วย ก็ถึงเวลารีวิวให้ชมกันแบบเต็ม ๆ แล้วล่ะครับ ถ้าพร้อมแล้ว มาติดตามรีวิวฉบับเต็มของ vivo X300 Series ไปพร้อมกันเลยครับ!

สรุปสเปก vivo X300

  • หน้าจอ : AMOLED ขนาด 6.31″, อัตราส่วน 19.54:9
  • ความละเอียด : 1.5K (2640 x 1216 พิกเซล), ความสว่างสูงสุด 4500nits
  • Refresh rate : 120Hz
  • ชิปเซ็ต : Dimensity 9500 Octa-core 4.21GHz (3nm)
  • RAM : 12GB/16GB (LPDDR5X Ultra)
  • storage : 256GB/512GB (UFS 4.1)
  • แบตเตอรี่ : 6040mAh
  • ระบบชาร์จเร็ว : 90W FlashCharge
  • กล้องหน้า : 50MP AF f/2.0
  • กล้องหลัก : 3 ตัว
  • 200MP กล้องหลัก (เซ็นเซอร์ HPB ขนาด 1/1.4″) f/1.68
  • 50MP กล้อง Ultra Wide Angle (เซ็นเซอร์ JN1 ขนาด 1/2.76″) f/2.0
  • 50MP กล้อง ZEISS APO Periscope Telephoto 3x (เซ็นเซอร์​ LYT-602 ขนาด 1/1.95″) f/2.57
  • การเชื่อมต่อ : Wi-Fi 6, Wi-Fi 7, WLAN 2.4 GHz/5 GHz/6 GHz, Wi-Fi Display, 2 x 2 MIMO, MU-MIMO, Bluetooth 6 และพอร์ต USB-C (USB 3.2 Gen 1)
  • มาตรฐานทนน้ำทนฝุ่น : IP68 & IP69
  • ระบบปฏิบัติการ : Android 16 (OriginOS 6)
  • สีสัน : Halo Pink, Iris Purple, Phantom Black

สรุปสเปก vivo X300 Pro

  • หน้าจอ : AMOLED ขนาด 6.78″, อัตราส่วน 20:9
  • ความละเอียด : 1.5K (2800 x 1260 พิกเซล), ความสว่างสูงสุด 4500nits
  • Refresh rate : 120Hz
  • ชิปเซ็ต : Dimensity 9500 Octa-core 4.21GHz (3nm)
  • RAM : 16GB (LPDDR5X Ultra)
  • storage : 512GB (UFS 4.1)
  • แบตเตอรี่ : 6510mAh
  • ระบบชาร์จเร็ว : 90W FlashCharge
  • กล้องหน้า : 50MP AF f/2.0
  • กล้องหลัก : 3 ตัว
  • 50MP กล้องหลัก (เซ็นเซอร์ LYT-828 ขนาด 1/1.28″) f/1.57
  • 50MP กล้อง Ultra Wide Angle (เซ็นเซอร์ ISOCELL JN1 ขนาด 1/2.76″) f/2.0
  • 200MP กล้อง ZEISS APO Periscope Telephoto 3.5x (เซ็นเซอร์​ ISOCELL HPB ขนาด 1/1.4″) f/2.67
  • การเชื่อมต่อ : Wi-Fi 6, Wi-Fi 7, WLAN 2.4 GHz/5 GHz/6 GHz, Wi-Fi Display, 2 x 2 MIMO, MU-MIMO, Bluetooth 6 และพอร์ต USB-C (USB 3.2 Gen 1)
  • มาตรฐานทนน้ำทนฝุ่น : IP68 & IP69
  • ระบบปฏิบัติการ : Android 16 (ครอบทับด้วย OriginOS 6)
  • สีสัน : Dune Brown, Mist Blue, Phantom Black

เรือธงกล้องทรงพลังใน 2 ขนาดชัดเจน

เริ่มกันที่ดีไซน์ก่อนเลย vivo X300 Series อย่างแรกที่อยากจะพูดถึงคือ “ขนาด” ที่ปีนี้ vivo ปรับขนาดตัวเครื่องของทั้งคู่ใหม่ ให้แตกต่างกันชัดเจนขึ้นแบ่งเป็น vivo X300 หน้าจอคอมแพกต์ 6.31″ และ vivo X300 Pro หน้าจอใหญ่ 6.78″

เป็นตัวเลือกให้ผู้ใช้อย่างเราได้เลือกง่ายขึ้น ซึ่งขนาดจอ 6.31″ ของ vivo X300 ก็ให้การพกพาที่สะดวก เหมือนกลุ่ม mini ที่น่าจะถูกใจคนที่ใช้งานมือเดียวได้สะดวก แต่ก็ยังเพียงพอต่อคอนเทนต์หลาย ๆ รูปแบบอยู่เนอะ ส่วนขนาด 6.78″ ของ vivo X300 Pro ก็จะใหญ่จัดเต็ม สำหรับดื่มด่ำในคอนเทนต์แบบเต็มตาที่สุด 

ที่ตัวหน้าจอของทั้งคู่ก็ปรับมาเป็นแบบจอ Flat หรือจอแบนราบเรียบร้อย ไม่มีขอบโค้งของกระจกแบบรุ่นก่อนแล้ว ตรงนี้น่าจะถูกใจคนที่ชอบความเรียบง่ายเนอะ และทีเด็ดอีกอย่างคือขอบจอก็บางเฉียบลงได้อีก เพราะตัวขอบสีดำบนหน้าจอของ vivo X300 Pro จะบางแค่ 1.1 มม.ส่วน vivo X300 นี่ยิ่งแล้วใหญ่บางแค่ 1.05 มม.เท่านั้น ทำให้เวลามองไปที่หน้าจอจะรู้สึกได้ถึงความเต็มตาขึ้นอีกจริง ๆ ครับ

แม้ขนาดหน้าจอจะต่างกัน แต่สเปคการแสดงผลก็ยังยอดเยี่ยมทั้งคู่ ได้หน้าจอ AMOLED Q10 Plus จาก BOE รองรับความสว่างสูงสุด 4500nits สีสันครอบคลุม 100% P3 Wide Color Gamut รองรับ HDR มีมาตรฐาน Low Blue Light จาก SGS เหมือนกัน รับรองได้ว่าแสดงผลได้สวยอลังการทั้งคู่ ต่างกันที่ขนาดจริง ๆ

รวมถึงระบบสแกนลายนิ้วมือ ที่รอบนี้ vivo ปรับให้ทั้งคู่ใช้เซ็นเซอร์แบบ 3D Ultrasonic แล้วด้วย ทำให้เวลาเราแตะสแกนนั้นรวดเร็วและแม่นยำขึ้นมาก โดยเฉพาะ vivo X300 ที่อัปเกรดขึ้นมาจากสแกนนิ้วแบบ Optical อะเนอะ

ดีไซน์ minimal ทันสมัยขึ้นในทุกมิติ

นอกจากหน้าจอแล้ว vivo X300 Series ก็ยังอัปเกรดดีไซน์ขึ้นจากรุ่นก่อนพอสมควร เพิ่มความ minimal มากขึ้นให้รูปลักษณ์ด้วยการปรับให้ทุกอย่าง Flat กว่าเดิม ลดความโค้งเว้าของทั้งหน้าจอและกรอบเครื่องลง และช่วยให้การจับถือนั้นได้ความรู้สึกที่ดีขึ้นด้วย

แต่ก็ยังไม่ทิ้งความโดดเด่นโมดูลกล้องหลังวงกลมขนาดใหญ่ที่มองแล้วก็รู้เลยว่าทรงพลังแค่ไหน แม้จะมีการลดตัวกรอบเลนส์ขนาดใหญ่ลงไปอีกก็ตาม ซึ่งการปรับครั้งนี้ vivo ไม่ได้ตัดทิ้งแบบดื้อ ๆ เพราะมีการแทรกการออกแบบ Unibody 3D เข้ามาด้วย

เราจะเห็นว่าของ vivo X300 นั้นตัวฝาหลังมีการไล่ระดับไปจนถึงโมดูลกล้องได้แบบเสน่ห์ ได้ความรู้สึกที่ไร้รอยต่ออย่างมาก ส่วนของ vivo X300 Pro ที่เน้นกล้องจัดเต็มกว่า ก็จะมีการออกแบบตัวกรอบด้วยลวดลายซันเบิร์สท์ ให้อารมณ์เหมือนเลนส์กล้องระดับโปรเข้าไปอีก

นอกจากนี้ที่ฝาหลังของ vivo X300 Series ทั้ง 2 รุ่นยังใช้เทคนิค Coral Velvet Glass ที่มอบสัมผัสนุ่มละมุนนิ้วเวลาสัมผัสยิ่งขึ้น รวมถึงลดการเก็บคราบรอยนิ้วมือขึ้นอีกด้วย และพอเป็นฝาหลังแบบแบนราบไปเลย ก็ให้การลูบสัมผัสถึงตัวเครื่องได้เต็ม ๆ พรีเมี่ยมมาก ๆ

ยังคงบางและจัดการน้ำหนักได้ดี

อย่างที่บอกว่า vivo X300 Series นั้นเน้นความ minimal มากขึ้น ตัวเครื่องบางลงด้วย แม้สเปคภายในจะอัปเกรดขึ้นมาเยอะก็ตาม โดย vivo X300 บางเพียง 7.95 มม. และ vivo X300 Pro บางแค่ 7.99 มม. (ไม่ถึง 8 มม.ทั้งคู่)

ส่วนน้ำหนักก็กำลังดีครับ vivo X300 เบา 190 กรัม ในขณะที่ vivo X300 Pro หนัก 226 กรัม การกระจายน้ำหนัก ยังมีรู้สึกบ้างว่ารุ่น Pro มีหนักหัวนิดหน่อย แต่ด้วยความที่ตัวเครื่องนั้นบาง และการออกแบบทรงเหลี่ยมที่ minimal ทำให้ตัวเครื่องนั้นจับถือได้ดี ใช้งานคล่องตัวขึ้นกว่ารุ่นก่อนอยู่นะ

ตำแหน่งรอบ ๆ ที่ลงตัว

ปุ่มกดต่าง ๆ ของ vivo X300 และ vivo X300 Pro ก็วางไว้ที่มุมขวาของตัวเครื่องเหมือนกันหมด พอรอบนี้ปรับเป็นกรอบเครื่องเหลี่ยมไปเลย ก็ได้พื้นที่ให้ปุ่มกดมีขนาดใหญ่ขึ้นอีกหน่อยด้วย

และรอบนี้ X300 Pro ก็จะมีปุ่มใหม่เพิ่มเข้ามาคือปุ่ม Shortcut หรือปุ่มทางลัด คล้ายกับของ X Fold5 ที่เริ่มเพิ่มมาให้ใช้งานแล้วนั่นเอง ซึ่งตรงนี้จะมีเฉพาะรุ่น Pro นะครับ X300 ไม่มีนะ

โดยปุ่มนี้จะให้เรากดควบคุมได้ 2 แบบคือ กดค้าง ที่ค่าเริ่มต้นตั้งมาเป็นปุ่มสลับโหมดเสียง (เปิดเสียง/สั่น) และกด 2 ครั้ง ที่ค่าเริ่มต้นตั้งมาเป็นเปิดไฟฉาย ซึ่งเราสามารถตั้งค่าเปลี่ยนคำสั่งเพิ่มเติมได้ หากไม่ได้ใช้ฟีเจอร์ที่ตั้งมาให้ มีให้เลือกทั้ง เปิดกล้อง, จดโน้ตด่วน, บันทึกเสียง, เปิดฟีเจอร์ AI Caption หรือจะเลือกเปิดแอปที่ต้องการเพิ่มเติมก็ได้เช่นกันครับ

ส่วนด้านบน-ล่างตัวเครื่องก็ยังวางตำแหน่งมาตรฐานเหมือนรุ่นก่อนครับ มีลำโพงหลักของตัวเครื่อง, พอร์ตการเชื่อมต่อ, ไมโครโฟนและช่องใส่ซิมอยู่ด้านล่าง และด้านบนก็จะมีลำโพงอีกชุดสำหรับใช้เป็นลำโพง Stereo ร่วมกับด้านล่างนั่นเองครับ

Halo Pink สีไฮไลท์ของ vivo X300

สำหรับสีสัน vivo X300 จะมีสี Halo Pink เป็นสีไฮไลท์ที่มีความโดดเด่นมาก ๆ เป็นสีชมพูประกายระเรื่อแบบ ฮาโล ให้ความรู้สึกสดใส เหลือบกับแสงเพิ่มลูกเล่นความวิบวับอย่างมีเสน่ห์ พร้อมเสริมลุคแฟชั่นสุดชิค

แต่เท่านั้นยังไม่พอเพราะที่วงแหวนรอบโมดูลกล้องของสี Halo Pink ใน vivo X300 ยังมีลูกเล่นสีรุ้ง ๆ เข้ามาด้วย เพิ่มรายละเอียดให้มากขึ้น เวลาเราพลิกไป-มาก็จะได้ความรู้สึกที่แปลกใหม่อยู่ตลอดเวลา

สำหรับสีสันของ vivo X300 ที่วางจำหน่ายในบ้านเรา นอกจากสี Halo Pink นี้แล้ว ก็ยังมีสี Iris Purple ละมุนแต่โดดเด่นด้วยเฉดสีดอกไอริส เผยเสน่ห์ สง่างามอย่างมีสไตล์ และสี Phantom Black มอบเสน่ห์แบบคลาสสิก สื่อถึงความมั่นคง น่าเชื่อถือ และหรูหรา อย่างมีระดับด้วย รวมแล้วก็เท่ากับมีให้เลือก 3 สีเนอะ

Dune Brown สีไฮไลท์ของ vivo X300 Pro

ส่วน vivo X300 Pro จะมีสีไฮไลท์เป็นสี Dune Brown สีน้ำตาลโทนทะเลทราย ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น แฝงความคลาสสิก อย่างมีรสนิยม เพราะถ้าไม่โดนแสงก็จะออกโทนน้ำตาลอ่อน ๆ แต่ถ้าโดนแสงกระทบก็จะไปทางทองหรู ๆ ได้ด้วย

และอีก 2 สีก็จะมีสี Mist Blue สีฟ้าโทนหมอก ให้ความสงบ อ่อนโยน ดูชิคแบบมีสไตล์ และสี Phantom Black คลาสสิก มั่นคง น่าเชื่อถือ มาให้เลือก รวมเป็น 3 สีเหมือนกันครับ

ทนทานด้วยมาตรฐานทนน้ำทนฝุ่น IP68 & IP69

ด้านความทนทาน vivo X300 และ vivo X300 Pro ทั้งคู่ยังได้มาตรฐานทนน้ำทนฝุ่น IP68 และ IP69 ซึ่งกันทั้งน้ำสะอาด ป้องกันการตกน้ำลึก 1.5 เมตรนาน 30 นาที และน้ำแรงดันสูง กับน้ำที่อุณหภูมิไม่เกิน 80º C เหมือนเดิม มั่นใจได้เลยว่าหากเครื่องเปียกหรือเกิดอุบัติเหตุตกน้ำจริง ๆ ก็จะไม่เสียหายง่าย ๆ อย่างแน่นอนครับ

โดยรวมในเรื่องดีไซน์ของ vivo X300 Series ก็ถือว่ามีการปรับให้ทันสมัยขึ้น ทั้งในเรื่องของรูปลักษณ์ที่ minimal เรียบง่าย แต่ก็ไม่ยังไม่ทิ้งเอกลักษณ์ของ X Series อย่างดีไซน์กล้องวงกลมอันทรงพลัง มีการใช้งานจริงที่ลงตัวกว่าเดิม ทั้งขนาดและน้ำหนักที่ลงตัวกว่าเดิม เป็นดีไซน์ที่ถูกใจเราจริง ๆ ครับ

กล้องพัฒนาร่วมกับ ZEISS ที่ยกระดับความละเอียดเป็น 200MP ทั้งสองรุ่น

มาเข้าเรื่องที่หลายคนรอคอยกันเลยดีกว่ากับ “กล้อง” ที่รอบนี้ vivo X300 Series ได้อัปเกรดระบบการถ่ายภาพร่วมกับ ZEISS Co-engineered Imaging System อีกครั้ง ทั้งคู่ยกระดับกล้องด้วยความละเอียดสูงสุด 200MP แล้วด้วย มาดูสเปกเบื้องต้นของแต่ละรุ่นกันก่อนเลยดีกว่า

สเปคกล้อง vivo X300

  • 200MP กล้องหลัก (เซ็นเซอร์ ISOCELL HPB ขนาด 1/1.4″) f/1.68
  • 50MP กล้อง Ultra Wide-angle (เซ็นเซอร์ ISOCELL JN1 ขนาด 1/2.76″) f/2.0
  • 50MP กล้อง ZEISS APO Telephoto Camera 3x (เซ็นเซอร์​ LYT-602 ขนาด 1/1.95″) f/2.57

สเปคกล้อง vivo X300 Pro

  • 50MP กล้องหลัก ZEISS Gimbal-Grade (เซ็นเซอร์ LYT-828 ขนาด 1/1.28″) f/1.57
  • 50MP กล้อง Ultra Wide-angle (เซ็นเซอร์ ISOCELL JN1 ขนาด 1/2.76″) f/2.0
  • 200MP กล้อง ZEISS APO Telephoto Camera 3.5x (เซ็นเซอร์​ ISOCELL HPB ขนาด 1/1.4″) f/2.67

จะเห็นว่าสเปคกล้องของทั้งคู่ได้รับการอัปเกรดขึ้นด้วยเซ็นเซอร์ตัวใหม่ ISOCELL HPB (B ย่อมาจาก Blue = vivo) ขนาด 1/1.4″ ความละเอียด 200MP ที่พัฒนาร่วมกับ Samsung อย่างใกล้ชิด โดย vivo X300 จะเลือกใช้เป็นกล้องหลัก ส่วน vivo X300 Pro จะใช้เป็นกล้อง Periscope 3.5x แทนครับ และแน่นอนว่าทั้งคู่ยังมีการเคลือบเลนส์ ZEISS T* Coating ด้วย

ส่วนกล้องตัวอื่นก็ยังมีการพัฒนาร่วมกับ ZEISS ด้วย ความละเอียด 50MP ทั้งหมด และความพิเศษของระบบประมวลผลของ vivo X300 Series ก็คือมีการทำงานร่วมกับ MediaTek เจ้าของชิป Dimensity 9500 ในด้านการถ่ายภาพ อีกทั้งยังมีชิปเสริม V3+ ให้ถ่ายวิดีโอ 4K ได้ดีขึ้น และเฉพาะรุ่น X300 Pro จะได้ชิป VS1 เข้ามาอีกตัว ช่วยให้ทำงานเร็วขึ้นและลดสัญญาณรบกวนของภาพ ทำงานร่วมกับชิปหลัก เพิ่มความเร็ว AI ของกล้อง 200% และลดการใช้ พลังงานลงอีก 60% ด้วย

ข้อมูลทางเทคนิคอาจจะเยอะไปหน่อย อยากให้ทราบเป็นข้อมูลไว้เนอะ ว่า vivo เขาเอาจริงมาก ๆ ไม่ใช่แค่ให้ฮาร์ดแวร์เว่อ ๆ มาอย่างเดียว เอาเป็นว่าเข้าใจง่าย ๆ ว่าถ่ายภาพสวย ประหยัดแบตฯ ทำงานเร็วขึ้นก็พอ ส่วนหน้าตา UI กล้องของ vivo X300 Series ก็ยังให้ตัวเลือกเราปรับการตั้งค่าได้เยอะเหมือนเดิม รอบนี้มีฟิลเตอร์ให้เลือกโทนสีหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็น Vivid, Texture, ZEISS, ขาว&ดำ หรือจะเลือกแบบมืออาชีพก็จะมี Classic Negative Film, Positive Film และอื่น ๆ มาให้เลือกเปลี่ยนด้วย

กล้องหลักตัวใหม่ความละเอียด 200MP ของ vivo X300

เรื่องตัวอย่างภาพถ่ายเราขอเจาะไปทีละกล้องดีกว่าเนอะ เริ่มที่กล้องหลักก่อน vivo X300 นั้นจะได้กล้องใหม่ความละเอียด 200MP เซ็นเซอร์ HPB อย่างที่บอกไป มีระยะ 1x ที่ 23มม. ในเรื่องคุณภาพก็ไม่ต้องห่วงครับ เพราะทั้งขนาดเซ็นเซอร์ที่ใหญ่ 1/1.4″ และความละเอียดมากขนาดนี้ ทำให้ได้ภาพที่สวย มิติของภาพยอดเยี่ยม และถ้าอยากจะซูมเข้าไปมากกว่า 1x ก็ยังสามารถทำได้สบาย 2x ก็ยังคมเหมือนระยะ Optical เลย

กล้องหลัก LYT-828 ใหม่ของ vivo X300 Pro เก็บ Dynamic Range ดีมาก

ส่วนของ vivo X300 Pro จะอัปเกรดกล้องหลักเป็นเซ็นเซอร์ LYT-828 ขนาดใหญ่ 1/1.28″ ความละเอียด 50MP มีระยะ 1x ที่ 24 มม. ซึ่งเซ็นเซอร์ใหม่นี้มีจุดเด่นในเรื่องของการเก็บแสงและ Dynamic Range ที่กว้าง หรือถ่ายภาพที่แสงท้าทายได้ดีนั่นแหละครับ ย้อนแสงก็เก่ง แสงน้อยก็เอาอยู่ และด้วยความที่ขนาดเซ็นเซอร์ใหญ่ก็ช่วยให้มิติภาพดีมาก ละลายหลังสวย แม้ไม่ได้ใช้โหมด Portrait

กล้อง Ultra Wide 50MP ตัวเดียวกัน คุณภาพยังเอาอยู่

กล้อง Ultra Wide ของ vivo X300 และ vivo X300 Pro นั้นจะได้มาเป็นตัวเดียวกันเลยคือ ISOCELL JN1 ความละเอียด 50MP ขนาด 1/2.76″ แม้ตัวเลขอาจจะไม่ได้ใหญ่เท่ากับกล้องหลัก แต่ก็ถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานมาก ๆ แล้วครับ ระยะของภาพจะอยู่ที่ 15 มม. ให้มุมกว้าง 119º ถือว่าเพียงพอในการเก็บภาพโดยไม่ต้องถอยออกเยอะครับ การประมวลผลหลังถ่ายก็ทำได้ดี ให้โทนสีที่ใกล้เคียงกับกล้องหลักของทั้งคู่นะ

กล้องซูม ZEISS APO Telephoto ครั้งแรกของรุ่นไม่ Pro

มาเข้าเรื่องกล้องซูมกันบ้าง vivo X300 นั้นได้อัปเกรดเซ็นเซอร์ใหม่เป็น LYT-602 ขนาด 1/1.95″ มีระยะ Optical ที่ 3x หรือ 70 มม. ซึ่งความพิเศษรอบนี้คือกล้องซูมนี้ได้มาตรฐาน ZEISS APO มาโดยตรงด้วย ทำให้คุณภาพของภาพจะใสเคลียร์ตามฉบับของ ZEISS เลย ถือเป็นครั้งแรกของรุ่นไม่ Pro ที่ได้มาตรฐานนี้เนอะ ซึ่งคุณภาพก็ต้องยอมรับเลยว่ายอดเยี่ยมจริง ๆ ทั้งการเก็บความคมชัด มิติ และโทนสีสวยยอดเยี่ยมจริง ๆ ซึ่งเราสามารถซูมได้เพียงพอตั้งแต่ระยะ 3x ไปถึง 10x ก็ยังไม่ผิดหวัง

กล้อง Telephoto ZEISS APO 200MP ที่ดีที่สุด

ส่วนรุ่น vivo X300 Pro ก็อย่างที่บอกว่าได้ปรับปรุงกล้องซูมขึ้นมาจาก ISOCELL HP9 ของรุ่นก่อน ให้ดีขึ้นอีกเป็น HPB มีระยะ Optical 3.5x ต่างจากรุ่นก่อนที่ 3.7x เพราะกล้องหลักเป็น 24มม. แต่ระยะจริงคือ 85มม.เท่าเดิมครับ ซึ่ง vivo ขิงเลยว่าเซ็นเซอร์ตัวนี้จะมีความเป็นที่สุดของอุตสาหกรรมอยู่ 6 อย่างหลัก ๆ ดังนี้

  • สูงที่สุดในอุตสาหกรรม: ความละเอียดสูงสุด 200MP
  • ใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรม: เซ็นเซอร์ขนาด 1/1.4″
  • เพียงหนึ่งเดียวในอุตสาหกรรม: เลนส์คุณภาพเกรดฟลูออไรต์ (Fluorite-Grade Glass Lens)
  • เอกสิทธิ์เฉพาะในอุตสาหกรรม: ผ่านการรับรอง ZEISS APO ช่วยลดการเกิด Chromatic aberration หรือความคาดสีต่ำ
  • นำโดยเทคโนโลยีชั้นนำ: เคลือบ ZEISS T* Coating ลดการเกิดแสงโกสต์และแสงแฟลร์
  • เสถียรที่สุดในอุตสาหกรรม: ระบบกันสั่น OIS ตามมาตรฐาน CIPA 5.5

ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมาก็ต้องยอมรับเลยว่า ระดับแนวหน้าของวงการจริง ๆ ครับ ทั้งระยะที่ใช้งานได้ง่าย เซ็นเซอร์ขนาดใหญ่ที่มอบการละลายฉากหลังได้เบลอเอามาก ๆ ความละเอียดที่เยอะพอที่จะให้เราซูมไปไกลกว่าระยะ Optical แล้วไม่แตก และการกันสั่นก็ทำได้ดีขึ้น ยังคงไม่ทำให้ผิดหวังเหมือนเดิม เรื่องการซูมเนี่ย vivo ทำถึงจริง ๆ

มี Telemacro ด้วยนะทั้งคู่

และอีกความดีงามของ vivo X300 Series ก็คือทั้งคู่สามารถถ่ายภาพแบบ Telemacro ได้ด้วย ใครที่ชอบถ่ายดอกไม้ใกล้ ๆ หรือส่องของที่ต้องการความคมชัด อันนี้หายห่วงเลยครับ เพราะทั้งคู่มีกล้อง Telephoto ZEISS APO ที่ซูมดีอยู่แล้ว พอเข้าใกล้ได้ ภาพที่ออกมาก็สวยคมแบบตัวอย่างด้านล่างนี่แหละครับ

Potrait สวยสไตล์ ZEISS ครบทุกระยะ

ส่วนในโหมด Portrait หรือการถ่ายภาพบุคคล vivo X300 และ vivo X300 Pro ก็ยังมี ZEISS Multifocal Portrait มาให้เลือกเหมือนเดิม ซึ่งจะมีระยะให้ใช้งานครบถึง 5 ระยะคือ 24มม./35มม./50มม./85มม./135มม. พร้อมลูกเล่นโบเก้จาก ZEISS หลากหลาย และแต่ละระยะก็จะให้ฟิลเตอร์พร้อม ZEISS Portrait Style ติดมาด้วยเหมือนเดิม

ซึ่งคุณภาพของโหมด Portrait จาก vivo X300 และ vivo X300 Pro ก็ไม่ทำให้ผิดหวังครับ ด้วยความที่ vivo จูนซอฟต์แวร์กับ ZEISS มาหลายรุ่น โทนสวย ZEISS Portrait Style ก็หลากหลายให้เลือกใช้ บวกกับชุดกล้องใหม่ที่ทรงพลังขึ้น ไม่ว่าจะระยะไหนก็ปังจริง แถมรอบนี้ก็ปรับโทนให้ดูเป็นธรรมชาติขึ้นอีกหน่อย สาย Portrait ถูกใจแน่นอน!

มี AI Multi-Crop ใช้ประโยชน์จากกล้อง 200MP ได้เต็ม ๆ

AI Multi-Crop อีกลูกเล่นที่ถูกเพิ่มเข้ามาในรอบนี้ ใช้ประโยชน์จากกล้อง 200MP ของทั้งคู่ได้อย่างเต็มที่ โดยฟีเจอร์นี้จะเป็นการเก็บภาพความละเอียดเต็มมาแล้วทำการครอปในส่วนที่สำคัญ จัดเรียงกันมาเป็นภาพเดียว ช่วยให้ภาพน่าสนใจยิ่งขึ้น และแน่นอนว่าความละเอียดระดับนี้ ขนาดครอปภาพก็ยังคมชัด เรียกว่าถ่ายทีเดียว ได้หลายมุมกันเลยครับ

มี AI Landscape Master ทำได้มากกว่าแค่ 4 ฤดูนะ

อีกหนึ่งฟีเจอร์ AI ที่เคยสร้างความว้าวในรุ่นก่อน ๆ อย่าง AI Four Seasons Portrait ที่ให้เราเปลี่ยนโทนภาพเป็นฤดูต่าง ๆ ได้อย่างเนียนตา บน vivo X300 และ vivo X300 Pro ก็อัปเกรดขึ้นมาอีกขั้น เพราะใส่ AI Landscape Master มาให้อีก 3 หมวด ได้แก่

  • Period (ช่วงเวลา) – Smart, Morning, Clear Sky, Evening glow, Nightfall
  • Region (ภูมิภาค) – Snowy town, Desert, Island
  • Creativity (ความคิดสร้างสรรค์) – Cyber, Animation, Oil blend, Fireworks

พอรวมเข้ากับ 4 ฤดูเดิมแล้ว เท่ากับเราจะมี AI เปลี่ยนภาพให้เลือกมากถึง 16 แบบ เลยทีเดียวครับ แล้วคือรอบนี้ใส่มาในโหมด Landscape เลยด้วย ใช้คู่กับภาพวิวได้เนียนขึ้น ช่วยเปลี่ยนภาพเซ็ง ๆ เป็นฟ้าใสได้ เปลี่ยนภาพเป็นเมืองแนวอื่นไปเลย หรืออยากได้ภาพแนวอนิเมะจากสถานที่จริง ก็ทำได้หมด รอบนี้ทำถึง ว้าวมาก!

Stage Mode 2.0 ถ่ายเวที ถ่ายคอนเสิร์ตได้ดีขึ้นอีก

Stage Mode รอบนี้เพิ่มมาให้ใช้งานทั้ง 2 รุ่นแล้วนะ เป็นเวอร์ชั่น 2.0 ด้วย ด้วยเทคโนโลยี Telephoto Magic 2.0 และ GTR 3.0 ช่วยให้ภาพพอร์ตเทรตของศิลปิน ชัดใสยิ่งขึ้น ส่วนวิดีโอรอบนี้ก็ปลดล็อคให้เราได้เลือกความละเอียดและเฟรมเรตได้สูงสุดที่ 4K/60fps ได้แล้วด้วย คมชัดลื่นไหลสุด ๆ ไปเลยนะ

นอกจากนี้ใน Stage Mode 2.0 ยังมีฟีเจอร์ Concert Dual-View ที่ให้เราบันทึกวิดีโอจาก 2 กล้องพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็นกล้องหน้าพร้อมกล้องหลัง หรือจะใช้กล้องหลักร่วมกับกล้อง Telephoto ก็ได้ ช่วยให้การถ่ายคลิป ถ่ายคอนเสิร์ตสนุกขึ้นไปอีกมากเลยล่ะครับ

เสริมพลังซูมให้สุดใจด้วย vivo ZEISS 2.35x Telephoto Extender 

แต่ถ้าคิดว่าซูมจากตัวเครื่องเองยังไม่พอ vivo ก็มีชุดเลนส์เสริม vivo ZEISS 2.35x Telephoto Extender มาให้ (ซื้อแยก) ด้วย ช่วยเพิ่มพลังการซูมเข้าไปอีก 2.35x ทำงานร่วมกับกล้อง 200MP ระยะ 85มม. ของ vivo X300 Pro แล้วก็จะได้ระยะ Optical ที่ 200มม. (ประมาณ 8.2x) พอดี

และแน่นอนว่าเราสามารถซูมเพิ่มเติมได้อีกไม่ว่าจะ 400มม./800มม./1600มม. หรือสูงสุดที่ 2000มม. (82x) กันเลย ช่วยให้ได้ภาพหลายระยะขึ้น และด้วยความที่เป็นเลนส์ที่พัฒนาร่วมกับ ZEISS จริง ๆ คุณภาพก็ยอดเยี่ยมมากด้วย

ระยะหวังผลจริง ๆ กดไม่เกิน 800มม. นี่แจ่มมาก จะซูมสัตว์ที่อยู่ห่างออกไปแบบคม ๆ หรือจะซูมคอนเสิร์ตก็ได้ และมีเด็ดก็คือรอบนี้ตัวเลนส์เสริมนี้สามารถใช้งานร่วมกับโหมดอื่น ๆ ได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นโหมด Stage, Landscape หรือ Portrait ก็ได้ด้วย (จำกัดแค่ระยะ 200มม) เหมือนเพิ่มพลังซูมแบบไม่ตัดทอนการใช้งานจริง ๆ เยี่ยมมาก!

วิดีโอที่ยอดเยี่ยมขึ้น ความละเอียดสูงสุด 8K/30fps

มาต่อในเรื่องวิดีโอกันบ้าง vivo X300 Pro สามารถถ่ายวิดีโอได้ที่ 8K/30fps หรืออยากได้เฟรมเยอะ ๆ มาดึงสโลโมชั่นทีหลัง ก็ได้ถึง 4K/120fps ด้วย แต่ถ้าอยากใช้งานแบบครบทุกกล้องก็ปรับไปที่ 4K/60fps ได้ครับ สามารถสลับกล้องระหว่างถ่ายได้ ซูมได้สูงสุดที่ 20x แต่ทั้งนี้บน vivo X300 จะถ่ายได้สูงสุดที่ 4K/30fps แบบสลับกล้องได้แทนครับ

ถ่าย Portrait Video ก็อัปเกรดเป็น 4K/60fps

หรือใครที่ชอบงานวิดีโอแบบหน้าชัด-หลังเบลอไว้ถ่ายคนสวย ๆ บน vivo X300 Pro ก็สามารถถ่ายได้แบบชัดสุด ๆ ที่ 4K/60fps แบบ HDR แล้วนะ ให้ภาพที่ลื่นไหลขึ้นบนความละเอียดสูงสุด ๆ พร้อมกันนี้ยังมี Styles ให้เลือกปรับโทนอีก 6 แบบคือ Natural portrait/Warm time/Summer sea breeze/Classic movies/Retro soft focus/HK night แต่ไฮไลท์ต้องเป็น Cold White และ Classic negative film ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากกล้อง Fujifilm นี่แหละครับ

กล้องหน้า 50MP อัปเกรดครั้งใหญ่ มุมกว้างขึ้น มี AF

และที่กล้องหน้า vivo X300 และ vivo X300 Pro อัปเกรดใหม่มาเป็น 50MP เซ็นเซอร์ JN1 (ตัวเดียวกับกล้อง Ultra Wide) ให้มุมมองที่กว้างขึ้นเป็น 92 องศา พร้อมทั้งยังรองรับ Autofocus ด้วย ทำงานร่วมกับฟีเจอร์ AI Beauty รวมถึง Portrait ที่มี ZEISS Portrait Style ให้ใช้ด้วย ในที่สุด X Series ก็ได้กล้องหน้าดีจริง ๆ สักทีเนอะ

โดยรวมในเรื่องกล้องของ vivo X300 Series ก็ต้องบอกเลยว่า ทำถึง ถูกใจเรามากจริง ๆ เพราะด้วยฮาร์ดแวร์ที่อัปเกรดมาเยอะ และซอฟต์แวร์ที่จูนมาได้ลงตัวมากขึ้น บวกกับลูกเล่น ฟีเจอร์ ที่ขนมาแลบไม่มีกั๊ก ตอบโจทย์ทุกการถ่ายภาพ ไม่ว่าจะ ภาพวิวทั่วไป, ภาพอาหาร, ภาพคน, ภาพซูม, Macro, คอนเสิร์ต เรียกว่าถนัดแบบไหน ก็มีรองรับให้หมด อีกทั้งรอบนี้ก็ยังมีชุดเลนส์เสริม vivo ZEISS 2.35x Telephoto Extender มาช่วยเพิ่มศักยภาพการซูมเข้าไปอีกด้วย ไม่ผิดหวังแน่นอน!

ประสิทธิภาพระดับสูงสุดด้วยชิป Dimensity 9500

มาต่อกันที่เรื่องประสิทธิภาพ vivo X300 Series มาพร้อมชิปเซ็ตเรือธงรุ่นล่าสุดของ MediaTek อย่าง Dimensity 9500 ที่เสริมแกร่งให้สมกับเป็นสมาร์ตโฟนเรือธง ด้วยรูปแบบ CPU All-Big Core ที่เคลมว่าแรงขึ้นอีก 24% และยังมี GPU ที่ประหยัดพลังงานได้ดีที่สุดในอุตสาหกรรม รวมถึงมี NPU ที่ประมวลผล AI ได้เร็วกว่าคู่แข่งทั้งหมดอีกด้วย

ซึ่งผลทดสอบที่เราลองทดสอบดูจากแอป AnTuTu Benchmark v11 และ Geekbench 6 ก็ออกมาสูงมาก ๆ เป็นอันดับต้น ๆ เท่าที่เราเคยทดสอบมาเลยก็ว่าได้ครับ แบ่งเป็น

AnTuTu Benckmark v11

  • vivo X300 = 3113001
  • vivo X300 Pro = 3437355

Geekbench 6

  • vivo X300 = Single-Core 3385 | Multi-Core 9980
  • vivo X300 Pro = Single-Core 3365 | Multi-Core 10055

แบตเตอรี่ Bluevolt ขนาดใหญ่ พร้อมชาร์จไว 90W FlashCharge

เรื่องแบตเตอรี่ vivo X300 Series ก็ยังให้มาจัดเต็มด้วย แบตเตอรี่ Bluevolt ความจุสูง 6040mAh สำหรับ vivo X300 และ 6510mAh สำหรับ vivo X300 Pro เพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อนอีกหน่อย แต่ตัวเครื่องบางลงอีกหน่อยด้วย เท่าที่เราลองใช้งานแบบจริงจัง ก็ต้องบอกเลยว่าใช้งานได้ดีมาก ด้วยความจุระดับนี้ แทบไม่ต้องกังวลในการใช้งานจริงเลย ไม่ว่าจะถ่ายรูปเน้น ๆ เล่นเกมบ้าง หรือโซเชี่ยลหนัก ก็เอาอยู่หมด

ส่วนระบบชาร์จ vivo X300 Series ทั้ง 2 รุ่นได้ระบบชาร์จไว 90W FlashCharge เหมือนกัน ชาร์จแบตฯเยอะ ๆ ให้กลับมาได้อย่างรวดเร็ว ส่วนการชาร์จไร้สายรอบนี้ก็รองรับทั้งคู่แล้วด้วย สูงสุด 40W Wireless FlashCharge ครับ

ใช้ OriginOS 6 มาตั้งแต่แกะกล่อง

ปิดท้ายที่เรื่องซอฟต์แวร์ครับ vivo X300 Series มาพร้อม OriginOS 6 บนพื้นฐาน Android 16 ตั้งแต่แกะกล่องเลย ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จาก Funtouch OS เดิมเลย เพราะมาพร้อมกับ ไฮไลท์ที่มอบประสบการณ์ที่แตกต่างอย่างชัดเจน ประกอบด้วย 

Smooth Origin ลื่นไหลขั้นสุด

เรื่องความลื่นไหล นี่เป็นจุดเด่นหลักของ OriginOS มาแต่ไหนแต่ไรแล้วจริง ๆ และบน OriginOS 6 นี้ก็มีการออกแบบอนิเมชั่แบบใหม่ ที่ลื่นไหลและเป็นธรรมชาติมากขึ้น ด้วยเทคโนโลยี Spring Animation และ One-shot ที่ทำให้การใช้งานดูต่อเนื่องสมจริงทุก การสัมผัส

Origin Design ดีไซน์ใหม่หมด

ในเรื่องหน้าตา OriginOS 6 ก็ถูกออกแบบใหม่ทั้งหมดจากภายในสู่ภายนอก ทั้งตัวไอคอนเอง ที่เรียบง่ายและสวยงาม Control Center ที่ปรับแยกเป็น 2 ส่วน มีเอฟเฟกต์เบลอร่วมกับความใส พร้อมปรับเอฟเฟกต์ ของวัสดุและแสงให้สมจริง สวยงามยิ่งขึ้น

Lockscreen กับการปรับแต่งที่มากขึ้น

ในหน้าจอล็อค ก็จะมีตัวเลือกให้ปรับแต่งเยอะขึ้นมาก ทั้งรูปแบบนาฬิกา ตัวเลือกแบบอักษร สีสันหรือใส่ข้อมูลด่วนได้ แต่ที่น่าสนใจจริง ๆ คือธีมแบบใหม่ที่เพิ่งเพิ่มเข้ามาใน OriginOS 6 ชื่อ Flip cards ที่ Wallpaper จะเปลี่ยนไปได้ตามการเอียงตัวเครื่อง มีทั้งแบบเปลี่ยนภาพไปเลย หรือเป็นแบบภาพขยับไปตามจังหวะเอียงเครื่องก็ได้ อันนี้สนุกและน่าสนใจจริง ๆ

Origin Island เกาะเอนกประสงค์บนหน้าจอ

บน OriginOS 6 จะมี Origin Island เกาะบนหน้าจอ ที่จะแสดงผลเล็ก ๆ อยู่ด้านบน กับแอปอย่างเครื่องเล่นเพลง, การนำทาง, จับเวลา เป็นต้น

แต่ไม่ใช่แค่นั้น เพราะเรายังสามารถลากไฟล์ขึ้นไปที่ด้านบน เพื่อเข้าถึงแอปได้อย่างรวดเร็วด้วย ตัวระบบจะรับรู้บริบทของ เนื้อหาภายในอุปกรณ์ (On-device Content-aware Framework)  ยกตัวอย่างเช่น เราเจอข้อมูลสถานที่ ก็ลากขึ้นไปหาแอป Maps ได้ทันที หรืออยากอัปรูปที่เลือกไว้แล้วก็ลากขึ้นไปหา Instagram ก็ได้ทันที

Office Kit เครื่องมือสำหรับเชื่อมต่อกับ Mac อย่างไร้รอยต่อ

หรืออย่างการทำงานร่วมกับคอมพิวเตอร์ OriginOS 6 ก็จะใช้งานร่วมกับแอป Office Kit บน Mac ได้อย่างสะดวกขึ้นมาก ไม่ว่าจะเป็นการ Screen mirroring, การถ่ายโอนไฟล์กันได้อย่างอิสระ หรือแม้กระทั่งซิงค์ข้อมูลใน Notes ก็ได้เช่นกัน ช่วยให้ชีวิตคนใช้ vivo X300 Series ร่วมกับ Mac สะดวกขึ้นเยอะจริง ๆ ครับ

ราคาและโปรโมชั่น vivo X300 Series

vivo X300 Series เปิดตัวมาด้วยกัน 2 รุ่นคือ X300 และ X300 Pro มีให้เลือกรุ่นความจุและราคาดังนี้เลยครับ

  • vivo X300 (12GB+256GB) = 31,999 บาท
  • vivo X300 (16GB+512GB) = 34,999 บาท
  • vivo X300 Pro (16GB+512GB) = 39,999 บาท

โดยมีโปรโมชั่น ! รับของแถมสุดคุ้ม มูลค่าสูงสุด 16,187.- ประกอบด้วย

  • vivo Care ประกันตัวเครื่อง 2 ปี และประกันหน้าจอแตก 2 ปี 1 ครั้ง (มูลค่า 10,999.-)
  • Camera Kit Bag (มูลค่า 2,999.-)
  • Premium Giftset (มูลค่า 2,189.-)
  • โปรเครื่องเก่าแลกเครื่องใหม่ เพิ่มจากราคาประเมินสูงสุด 8,000 บาท

สรุปแลัว “นี่คือสองเรือธงกล้องทรงพลังที่สุดของปี 2025 จาก vivo”

สรุปแล้ว vivo X300 Series ก็ถือเป็นสมาร์ตโฟนเรือธงกล้องทรงพลังรุ่นใหม่ ที่มาส่งท้ายปี 2025 ได้อย่างสวยงาม ด้วยการอัปเกรดกล้อง 200MP ZEISS Camera ที่ยกระดับการถ่ายภาพไปอีกขั้น ทั้งใน vivo X300 และ X300 Pro จัดเต็มทั้งคุณภาพของภาพนิ่งและวิดีโอ โหมดต่าง ๆ ที่ให้มาก็ครอบคลุมในทุกสาย ไม่ว่าจะ Portrait สวยในทุกระยะ คอนเสิร์ตแจ่มกับ Stage mode 2.0 ลูกเล่น AI Visual หรือจะเป็นสายซูมไกลก็เอาอยู่หมด รวมถึงมีชุดอุปกรณ์เสริมใหม่อย่าง vivo ZEISS Telephoto Extender เพิ่มพลังการซูมได้แบบครบจบอีก ส่วนเรื่องดีไซน์ปีนี้ก็ปรับให้เข้าที่กว่าเดิมครับ ใช้งานได้อย่างลงตัว แต่ก็ไม่ทิ้งเอกลักษณ์ในเรื่องความโดดเด่นด้านกล้อง ประสิทธิภาพภายในก็ไม่ต้องห่วง แรงเหลือ ๆ แต่ที่ขาดไม่ได้จริง ๆ คงเป็นซอฟต์แวร์ใหม่อย่าง OriginOS 6 ที่นอกจากจะสวยงามขึ้น ลื่นไหลกว่าเดิม แล้ว ด้านฟีเจอร์ต่าง ๆ ก็ยังใช้งานได้จริง จนเปลี่ยนประสบการณ์การทำงานไปโดยสิ้นเชิงอีกด้วย เรียกว่าครบจบสมกับเป็นเรือธงเก่งรอบด้านที่อัปเกรดมาแบบทุกจุดจริง ๆ ครับ vivo X300 Series เนี่ย!

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

This website uses cookies to improve your experience. We'll assume you're ok with this, but you can opt-out if you wish. Accept Read More