
จัดรีวิวมาให้แบบเป็นคู่ในรอบนี้สำหรับ vivo V50 Lite สมาร์ตโฟน “แบตอึด จนขอท้า” ที่ให้แบตเตอรี่ BlueVolt ขนาดใหญ่ถึง 6500mAh ใช้งานได้เต็มวัน ดีไซน์ที่บางเฉียบเป็นเอกลักษณ์ มีความแข็งแกร่งและทนทาน และสเปคที่ใช้งานได้แบบเต็มที่ และ vivo Watch GT สมาร์ทวอทช์พลังแบตอึด ใช้งานนานสุด 21 วัน ดีไซน์สวย ฟังก์ชันจัดเต็ม โดยเราจะพามาดูไปทีละอุปกรณ์ครับ
รีวิว vivo V50 Lite
มาเริ่มกันด้วยพระเอกในรีวิวนี้ vivo V50 Lite กันเลย รอบนี้ในรุ่นเล็กสุดของ V50 Series ยังคงชูโรงด้วยดีไซน์ที่สวยงามแบบครบทั้ง 3 สี ได้แบตเตอรี่ที่ทรงพลังสุดอึดแบบ BlueVolt 6500mAh แต่ตัวเครื่องยังบางเฉียบมากๆ เพียง 7.79 มม. เท่านั้น รวมถึงสเปคต่างๆ ที่มีให้ใช้งานกันเต็มที่ครับ

สรุปสเปค vivo V50 Lite
- ขนาดตัวเครื่อง : 163.77 × 76.28 × 7.79 มม.
- น้ำหนัก : 197 กรัม
- หน้าจอแสดงผล AMOLED ขนาด 6.77 นิ้ว ความละเอียด FHD+ (2392 × 1080 พิกเซล), 387PPI รองรับ Refresh Rate 120Hz, 105% NTSC, ขอบเขตสี 100% DCI-P3 และความสว่างสูงสุด 1800nits
- CPU : MediaTek Dimensity 6300 Octa-core ความเร็วสูงสุด 2.4GHz
- GPU : ARM Mali-G57
- RAM : 8/12GB LPDDR4X
- ROM : 256/512GB UFS 2.2
- กล้องถ่ายรูปด้านหลัง 2 เลนส์ดังนี้
- เลนส์หลัก 50MP รูรับแสง f/1.79 เซ็นเซอร์ Sony IMX882
- เลนส์ Ultra-Wide 8MP รูรับแสง f/2.2
- กล้องหน้า 32MP รูรับแสง f/2.45
- ระบบปฏิบัติการ Android 15 ครอบทับด้วย Funtouch OS 15
- รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 5, Bluetooth 5.4, 5G และพอร์ต USB Type-C
- แบตเตอรี่ BlueVolt ความจุ 6500mAh ชาร์จเร็ว 90W FlashCharge
มาเริ่มแกะกล่องกันเลย !!
กล่องของ vivo V50 Lite มาในรูปแบบสีดำตามสไตล์ของ vivo V Series ครับ โดยตรงกลางกล่องจะมีชื่อรุ่น V50 Lite 5G บ่องบอกชัดเจน และถูกล้อมรอบด้วยวงแหวน Aura Light ขณะที่ด้านล่างก็มีการใส่สัญลักษณ์มาพร้อม AI เข้ามาด้วย

ภายในกล่องก็จะให้มาครบถ้วนเหมือนเดิม ตามนี้เลยครับ
- ตัวเครื่อง vivo V50 Lite พร้อมติดฟิล์มกันรอย
- เคส (สี Phantom Black : เคสสีดำ, สี Titanium Gold : เคสใส, สี Fantasy Purple : เคสใส)
- อะแดปเตอร์ 90W FlashCharge
- สาย USB Type-A to Type-C
- เข็มเปิดถาดซิม
- คู่มือการใช้งาน


ดีไซน์บางเฉียบ ควบคู่ความพรีเมียมในทั้ง 3 สีใหม่ !
เรื่องดีไซน์ใน vivo V Series ถือว่าไม่เป็นสองรองใคร ซึ่งใน vivo V50 Lite ก็เช่นกันครับ มาด้วยกัน 3 สีแบบครบๆ ทุกสีมีความพรีเมียม สวยงาม บางเฉียบ และดูหรูหราเกินราคา โดยเราจะมาพาเจาะลึกไปทีละสีครับ

เริ่มด้วยสีทอง Titanium Gold จะเป็นสีทองที่มีความเรียบหรู เป็นฝาหลังผิวด้าน ผสานกับความเปล่งประกายเมื่อตกกระทบแสงในมุมต่างๆ และที่ชอบเลยคือลูกเล่นของฝาหลังจะดูไม่เยอะ เป็นแบบเรียบๆ แต่ดูแพงเกินเบอร์มากจริงๆ

สำหรับสีดำ Phantom Black สีนี้จะมีความลึกลับแต่ก็คลาสสิกในตัว เป็นโทนสีดำแบบนุ่มนวล ไม่ดูดำแข็งๆ เป็นการสะท้อนสีดำผสมม่วงเข้มๆ และยังได้ลูกเล่นด้วยประกายระยิบระยับทั่วทั้งฝาหลังด้วย

และท้ายสุดจะเป็นสีม่วง Fantasy Purple ที่เป็นสีที่มีลูกเล่นแบบโดดเด่นที่สุดของรุ่นนี้ครับ จะมีลูกเล่นที่พื้นผิวของฝาหลังขึ้นมา โดยสีนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากความงามในโทนสีพาสเทลของท้องฟ้ายามพลบค่ำผสมกับสีม่วงอ่อนอย่างลงตัวสุดๆ โดยจะมีลวดลายคล้ายกับขนนกปกคลุมอยู่ทั่วทั้งฝาหลังครับ

ทั้ง 3 สีไม่ใช่แค่โดดเด่นในเรื่องของความสวยงามที่ฝาหลังเท่านั้น แต่ยังให้ความบางมาเพียง 7.79 มม. เท่านั้น พร้อมด้วยความเบา 197 กรัม ทำให้ทุกการใช้งานนั้นถนัดและจับถือได้สะดวก ไม่หนักมือ ซึ่งตัวเลขที่เราเห็นนี้คือสมาร์ตโฟนที่ให้แบตเตอรี่แบบอึดๆ มาถึง 6500mAh สะด้วยล่ะครับ

พอเราพลิกมาดูที่ขอบเครื่อง ก็จะเห็นว่ามีความมันเงาแบบ High-Gloss ตัดกับผิวด้านของฝาหลังได้อย่างสวยงาม

ทนน้ำ-ทนฝุ่นในระดับ IP65 และการทดสอบระดับทหาร
vivo V50 Lite ไม่ได้ดีแค่ความสวยามแค่ภายนอก แต่ยังมีความทนทานและแข็งแกร่งในทุกการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นมาตรฐานทนน้ำ-ทนฝุ่น IP65 ที่ให้เราใช้งานได้ต่อเนื่อง แม้ในช่วงฝนตกหรือเปียกน้ำ รวมถึงยังเป็นรุ่นที่ผ่านความทนทานขั้นสูงจากการทดสอบการตกและกระแทกโดย SGS Five-Star Drop Resistance และ Military-Grade Certification ที่เป็นการรับรองมาตรฐานความทนทานระดับทหารเช่นกัน

หน้าจอระดับ AMOLED ใช้งานไหลลื่น 120Hz
ด้วยความที่เป็นหนึ่งในตระกูลหลักอย่าง vivo V Series แน่นอนว่า vivo V50 Lite ก็มาพร้อมหน้าจอแสดงผลแบบคมชัด AMOLED และเป็นหน้าจอแบนเรียบ ซึ่งน่าจะถูกใจหลายคนแน่นอน ขนาดก็ใหญ่ที่ 6.77 นิ้ว มีความละเอียดอยู่ที่ FHD+ (2392 × 1080 พิกเซล) ใช้งานได้คมชัดตามมาตรฐาน รวมถึงยังได้สีสันที่ชัดเจน สวยงามแบบ 105% NTSC และขอบเขตสี 100% DCI-P3 และใครที่ใช้งานนานๆ ก็สบายตามากขึ้นด้วยการผ่านการรองรับจาก SGS Low Blue Light Certification ลดแสงสีฟ้าเพื่อถนอมสายตา

ขอบหน้าจอรุ่นนี้ยังให้มาบางเฉียบมากๆ แม้ว่าหน้าจอจะใหญ่ 6.77 นิ้ว แต่ตัวเครื่องไม่ได้ใหญ่ตามไปด้วย ทำให้เป็นรุ่นที่มีพื้นที่ในการแสดงผลสูงพอสมควรเลย

ความไหลลื่นของหน้าจอจะไหลลื่นแบบ Refresh Rate 120Hz ใช้งานได้ติดนิ้ว และตอบสนองได้ไว โดยเฉพาะในการเล่นเกม ซึ่งจะรู้สึกได้ชัดเจนมากๆ ครับ รวมถึงใครที่ใช้กลางแจ้ง หากเปิดโหมดอัตโนมัติในการปรับระดับแสงก็จะได้สูงสุดที่ 1800nits

พลิกดูรอบเครื่องกันหน่อย
เราพามาดูสิ่งที่อยู่รอบเครื่องกันต่อครับ บริเวณหน้าจอจะได้กล้องหน้า Punch Hole ตรงกลาง และแถบลำโพงสเตอริโอคู่มาให้ด้วยที่ขอบบน

ทางด้านล่างจะมีให้ทั้งช่องใส่ซิมการ์ดแบบ 2 ซิม (เพิ่ม MicroSD Card ไม่ได้) ตามด้วยไมโครโฟนตัวหลัก พอร์ต USB-C และลำโพงสเตอริโออีกตัวครับ


ฝั่งขวาจะเป็นปุ่ม Power และปุ่มเพิ่ม-ลดเสียงมาให้แบบปกติ โดยที่การสแกนลายนิ้วมือจะเป็นการใช้งานบนหน้าจอครับ

ด้านบนจะเป็นไมโครโฟนตัวที่ 2 มาให้ครับ

ท้ายสุดที่ด้านหลังจะเป็นโมดูลกล้องหลังแนวตั้ง มีเลนส์หลักขนาดใหญ่ด้านบนสุด ตามด้วยเลนส์ Ultra-Wide และปิดท้ายด้วยไฟ Aura Light

ซอฟต์แวร์ และฟังก์ชั่นการใช้งาน
ใช้บน Android 15 พร้อม Funtouch OS 15 ฟังก์ชัน AI เพียบ
vivo V50 Lite แกะกล่องมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android 15 ที่ครอบทับด้วย UI รุ่นล่าสุดอย่าง Funtouch OS 15 ที่เต็มไปด้วยฟังก์ชันการใช้งาน AI ที่เยอะพอสมควรเลยครับ เข้ามาช่วยในการใช้งานในชีวิตประจำวันได้ดีขึ้น รวมถึงความเสถียรต่างๆ ก็ดีขึ้นกว่าเดิมด้วย

ลำโพงสเตอริโอคู่ทรงพลัง พร้อมเพิ่มได้สูงสุดถึง 400% !!
ลำโพงในรุ่นนี้จัดมาแบบเต็มๆ แบบสเตอริโอคู่ ใช้งานทรงพลัง เสียงออกมาแบบกระหึ่มมากๆ ครับ ซึ่งการใช้งานในระดับ 100% หรือแบบปกติก็ดีอยู่แล้ว แต่หากใครไม่สะใจก็เพิ่มได้สูงสุดถึง 400% เลยทีเดียวครับ และที่สำคัญ ลำโพงยังรองรับมาตรฐาน Hi-Res Audio ทำให้เสียงมีมิติมากขึ้นกว่าเดิมด้วยครับ

ฟีเจอร์ AI ให้ใช้งานเพียบ
อย่างที่บอกไปว่ารุ่นนี้ให้ฟีเจอร์ AI เข้ามาใช้งานเยอะพอสมควร ซึ่ง vivo V50 Lite ที่อะไรให้ใช้งานบ้าง เรามาดูกันเลยครับ
ปรับภาพให้คมชัดด้วย AI Photo Enhance
ในแอปอัลบั้มที่เป็นการรวมภาพถ่ายของเรา จะมีฟีเจอร์ให้เราได้ใช้งานเพื่อปรับภาพให้คมชัดมากขึ้นกว่าเดิม และเห็นรายละเอียดต่างๆ และสดใสได้มากขึ้นด้วย ไม่ว่าจะเป็นภาพเก่าหรือภาพที่ถ่ายในเครื่องครับ



ลบวัตถุแม่นยำขึ้นด้วย AI Erase 2.0
AI Erase 2.0 ที่เป็นเวอร์ชันอัปเกรดขึ้นมา ก็ให้เราสามารถลบคนหรือวัตถุที่ไม่ต้องการได้แม่นยำมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งการลบคนจะมีการตรวจจับได้อัตโนมัติเลยครับ และที่หลายคนอาจจะกังวลว่าจะลบได้เนียนมั๊ย ต้องบอกเลยว่าทำได้ดีเลยครับ ลบได้พร้อมกับแต่งเติมส่วนที่ขาดได้เนียนๆ



แปลข้อความบนหน้าจอได้เลยด้วย AI Screen Translation
ใครที่ใช้งานบนเว็บไซต์ที่มีภาษาอังกฤษเยอะๆ ซึ่งอาจะไม่ถนัดในการอ่าน vivo V50 Lite ก็มาพร้อมฟีเจอร์การแปลหน้าจอ (AI Screen Translation) ที่ให้เรากดแปลได้เลยทันที ซึ่งการแปลจะเป็นการแสดงทับข้อความภาษาอื่น เพื่อให้มีความง่ายในการอ่านครับ โดยการใช้งานก็ง่ายมากๆ เพียงแค่กดใช้งานในที่แถบข้างเครื่องได้เลยครับ


ดึงข้อความจากภาพได้เลยผ่าน Live Text
ไม่ใช่แค่การแปลข้อความได้เท่านั้น แต่ก็ยังมาพร้อมฟีเจอร์ Live Text ที่เราสามารถคัดลอก ค้นหา หรือแชร์ข้อความในภาพของอัลบั้มเราได้เลยครับ ซึ่งใช้งานได้เร็วมากๆ ในตอนที่รีบหรือสถานการณ์เร่งด่วน และที่สำคัญยังรองรับถึง 15 ภาษา ได้แก่ จีน, อังกฤษ, ญี่ปุ่น, เกาหลี, สเปน, อิตาลี, เยอรมัน, ฝรั่งเศส, โปรตุเกส, อินโดนีเซีย, ดัตช์, ฮินดี, ไทย, มาเลย์ และฟิลิปปินส์

ประสิทธิภาพ การเล่นเกม และแบตเตอรี่
ชิปเซ็ตตัวกลาง MediaTek Dimensity 6300 ขนาดเล็ก 6nm
MediaTek Dimensity 6300 เป็นชิปประมวลผลที่เข้ามาขับเคลื่อน vivo V50 Lite รุ่นนี้ครับ ซึ่งเป็นขนาดเล็กเพียง 6nm เท่านั้น ทำให้ได้ทั้งความแรงและการประหยัดพลังงานที่ควบคู่กันด้วย และชิปรุ่นนี้มีความเร็ว Clock สูงสุดที่ 2.2GHz และได้ GPU ARM Mali-G57 ที่ช่วยประมวลผลด้านกราฟิกได้สวยงาม ที่สำคัญเมื่อใช้งานร่วมกับ Funtouch OS 15 แล้ว ทาง vivo ก็ยังรับรองการใช้งานที่ราบรื่นยาวนานต่อเนื่องถึง 50 เดือน

RAM รวม 16GB ด้วย Extended RAM
สำหรับ RAM ที่ให้มาในรุ่นนี้จะอยู่ที่ 8GB ซึ่งเราสามารถเปิดฟีเจอร์ Extended RAM มาให้อีก 8GB รวมเป็น 16GB ทำให้การเปิดแอปพลิเคชั่นต่างๆ ในพื้นหลังได้มากขึ้น โดยที่แอปพื้นหลังยังคงทำงานได้อย่างต่อเนื่องแบบไม่โดนรีเซ็ตครับ

คะแนนการทดสอบบน AnTuTu v10 และ Geekbench 6
- ผลคะแนนการทดสอบด้านประสิทธิภาพด้าน CPU, GPU และหน่วยความจำบน AnTuTu 10.3.6 ได้มาที่ 429,509 คะแนน
- ผลคะแนนด้าน CPU บน Geekbench 6 ทำ Single-Core ไปที่ 755 คะแนน และ Multi-Core ที่ 1,997 คะแนน


ท้าพิสูจน์ความแรงด้วยการทดสอบเล่นเกมกันหน่อย !
เรื่อง CPU และ GPU เราได้บอกไปแล้วว่าใช้อะไรยังไงบ้าง เราก็ขอท้า vivo V50 Lite มาทดสอบการเล่นเกมกันสักหน่อย โดยเล่น 3 เกมหลักๆ คือ ROV, Arena Breakout และ Asphalt Legends Unite
ROV
ในเกม ROV เราเปิดภาพได้ที่ระดับสูง (ยังไม่สูงสุด) แต่ส่วนอื่นจะเปิดสูงสุดได้ทั้งหมดครับ ซึ่งจากที่เราเล่น เฟรมเรททำได้ดีเกินคาด นิ่งๆ ที่ 60fps แทบตลอดทั้งเกม ซึ่งแทบจะไม่หล่นลงมาเลย แม้แต่ 59fps ก็ยังเห็นได้ยากด้วยเหมือนกันครับ

Arena Breakout
สำหรับเกมนี้เราจะเปิดได้ 3 แบบหลักๆ จะเน้นลื่นหรือจะเน้นภาพสวย คือกราฟิกผลงาน (น้อยสุด) + เฟรมเรทสูงมาก, กราฟิกคุณภาพ + เฟรมเรทปานกลาง หรือกราฟิกสูงสุด + เฟรมเรทต่ำ โดยเราอยากให้เล่นแบบลื่นๆ เลยปรับภาพเป็นแบบแรกครับ การเคลื่อนที่ภายในเกมทำได้ดีมาก ติดนิ้ว และไหลลื่นมากๆ รวมถึงยังใช้ประโยชน์จากลำโพงสเตอริโอคู่ได้เป็นอย่างดีครับ

Asphalt Legends Unite
ปิดท้ายด้วย Asphalt Legends Unite เป็นเกมที่สามารถเปิดภาพกราฟิกทุกอย่างได้สูงสุดแบบ 100% ซึ่งการเล่นก็ทำได้ยอดเยี่ยม ภาพสวยงามคมชัดจริงๆ โดยเฉพาะที่มีการชนต่างๆ ก็ทำได้สวยงามทั้งภาพ แสง และเงาภายในเกมครับ

เครื่องบางเฉียบที่สุดของ vivo ที่ได้แบตเตอรี่ทรงพลัง BlueVolt 6500mAh
vivo V50 Lite เป็นสมาร์ตโฟนที่ถือว่าเป็นรุ่นที่บางเฉียบที่สุดของ vivo ที่ให้แบตเตอรี่มาอึดที่สุด โดยจะเป็นแบบ BlueVolt ความจุถึง 6500mAh โดยเป็นการใช้วัสดุแบตเตอรี่แบบ Semi-Solid (บนพื้นฐานแบต Li-ion) มีความหนาแน่นสูงในขนาดแบตที่ไม่ใหญ่เกินไป ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยให้ใช้งานได้นาน รวมถึงอายุของแบตเตอรี่ก็ยาวนาน มีการการันตีสุขภาพและประสิทธิภาพการใช้งานแบตแม้ชาร์จไปแล้วมากกว่า 1,700 รอบ ภายในระยะเวลา 5 ปีครับ

ในการชาร์จเร็วก็ให้มาถึง 90W FlashCharge มีความเร็วมากๆ แม้ว่าจะมีแบตเตอรี่ที่อึด แต่ก็ชาร์จเร็วในเวลาไม่นานเลยครับ เราได้ลองชาร์จจากแบต 17% ได้มาถึง 50% ในเวลาประมาณ 26 นาที จากนั้นเราก็รอจนชาร์จเต็ม 100% ในเวลารวมทั้งหมดเพียง 66 นาทีเท่านั้นครับ

ถ่ายคมชัด 50MP สวยงามคมชัด ถ่ายย้อนแสงได้ยอดเยี่ยม
กล้องที่ให้มาใน vivo V50 Lite ให้เราได้ใช้งานกันแบบสวยงามในราคาที่เข้าถึงได้ง่ายมากๆ ครับ โดยจุดเด่นจะเป็นการใช้งานโหมด AI ในเลนส์หลักที่รองรับ Auto HDR ที่ให้ถ่ายน้อยแสงได้อัตโนมัติ รวมถึงการถ่ายภาพอื่นๆ ที่ทำได้สวยงามไม่แพ้ V50 Series รุ่นพี่ๆ เลยครับ ส่วนสเปคกล้อง เราขอสรุปกันอีกรอบแล้วกัน ตามนี้ครับ
- เลนส์หลัก 50MP, f/1.79, IMX882
- เลนส์ Ultra-Wide 8MP, f/2.2
- กล้องหน้า 32MP, f/2.45

กล้องหลัก 50MP ถ่ายได้สวยงาม ย้อนแสงก็ทำได้
อย่างที่บอกไปเลยว่าเลนส์หลักในรุ่นนี้ก็ทำได้ดี และไว้ใจได้เหมือนเดิมกับชื่อที่รุ่นอย่าง V Series ซึ่งภาพที่ได้จะมีสีสันที่มีความสดใส ความอิ่มสีค่อนข้างพอดี สีไม่จัดเกินไปครับ รวมถึงการถ่ายภาพย้อนแสงก็มี HDR ที่ให้ฉากหน้า-หลังได้เห็นทั้งภาพแบบชัดเจนครับ




















Ultra-Wide มุมกว้าง 120 องศา ถ่ายสวย เก็บครบทั่วทั้งภาพ
อีกเลนส์ที่ให้มาจะเป็นเลนส์มุมกว้างที่มีมุมมองที่ 120 องศาครับ ซึ่งเป็นมุมมองที่กำลังพอดี ไม่ได้กว้างจนทำให้ขอบภาพโค้งจนเบี้ยวผิดรูปแบบไป ขณะที่ความคมชัดอาจจะไม่เท่าเลนส์หลัก แต่ก็ยังถ่ายภาพย้อนแสงได้ดี รวมถึงสีสันต่างๆ ก็ยังสดใส ไม่ซีดด้วยครับ








Portrait ไว้ใจ้ได้ตามสไตล์ vivo
แม้ว่าจะเป็นรุ่นกลาง แต่เรื่อง Portrait ก็ยังไว้ใจได้เสมอสำหรับ vivo ซึ่งในรุ่น vivo V50 Lite ก็ให้เราถ่ายภาพบุคคลได้สวยงาม การละลายฉากหลังทำได้สวยงาม เบลอค่อนข้างเนียน และไล่เป็นระดับๆ ทำให้ภาพมีมิติพอสมควรครับ และที่ชอบอีกอย่างคือการรองรับการถ่ายในระยะ 2x (52mm) ซึ่งเป็นระยะที่เหมาะมากในการถ่าย Portrait จริงๆ และที่สำคัญยังมีเอฟเฟ็กต์ Bokeh Flare Portrait ที่ให้เลือกปรับโบเก้การเบลอได้หลายแบบ ได้แก่ หัวใจ ดาว ผีเสื้อ และซากุระ




















เซลฟี่สวยใส ถ่ายคมชัดด้วยความละเอียด 32MP
เรื่องกล้องหน้าก็ยังเป็นสิ่งที่เราไว้ใจ vivo ได้มาเสมอครับ ในรุ่นนี้ก็จัดความละเอียดมาให้ถึง 32MP จับภาพใบหน้าได้สวยงาม คมชัด รวมถึงการปรับแต่งความสวยงามบนบหน้าก็ทำได้และเป็นธรรมชาติเลยครับ






สรุปการใช้งาน vivo V50 Lite
ด้วยราคาเริ่มต้นที่ไม่ถึงหมื่น vivo V50 Lite จัดว่าเป็นสมาร์ตโฟนรุ่นที่คุ้มค่ามากๆ แล้วครับ ได้การใช้งานมาแบบครบๆ ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์ที่สวยงาม พรีเมียม ไม่ว่าจะเป็นสีไหนก็ตาม รวมถึงหน้าจอแสดงผลแบบ AMOLED 120Hz ชิป Dimensity 6300 ที่ใช้งานทั่วไปหรือเล่นเกมเบาๆ ได้ไหลลื่นและเต็มที่แล้วครับ มีกล้องหลังคู่ คมชัดสูงสุด 50MP ถ่ายภาพได้สวยและจบหลังกล้องได้เลย และที่ขาดไม่ได้คือแบตเตอรี่ที่เป็นแบบ BlueVolt ความจุอึดๆ 6500mAh ให้เราได้ใช้งานกันแบบทั้งวันแน่นอน ชาร์จครั้งเดียวก็อยู่รอดแน่นอนครับ

รีวิว vivo Watch GT
มาต่อกันกับรีวิว vivo Watch GT กันอีกเล็กน้อย ที่บอกเลยว่าเป็นคู่หูของ vivo V50 Lite ได้เป็นอย่างดีเลยครับ ใครที่หาสมาร์ทวอทช์สักเรือนไว้ใช้งาน รุ่นนี้ก็เป็นอีกรุ่นที่น่าสนใจมากๆ ด้วยดีไซน์ที่เบา สวยงาม และฟังก์ชันด้านสุขภาพที่ครบครัน

สรุปสเปค vivo Watch GT
- ขนาดตัวเรือน : 45.8 × 39.6 × 11.2 มม.
- น้ำหนัก : 33 กรัม (ไม่รวมสาย)
- หน้าจอแสดงผล AMOLED ขนาด 1.85 นิ้ว ความละเอียด 390 x 450 พิกเซล
- RAM 32MB
- ROM 4GB
- ระบบปฏิบัติการ vivo BlueOS
- การเชื่อมต่อ Bluetooth 5.3, BLE/BT และ NFC
- มีไมโครโฟนในตัว
- ใช้งานได้กับสมาร์ทโฟน Android 8.0
- แบตเตอรี่ 505mAh
ดีไซน์สุดคลาสิก สวยงาม และหรูหราเกินราคา
พามาดูดีไซน์ของ vivo Watch GT กันเป็นอย่างแรกเลยครับ รุ่นนี้เป็นสมาร์ทวอทช์ทรงหน้าปัดทรงสี่เหลี่ยมรุ่นแรกของ vivo ใครที่ชอบสไลต์แบบคลาสิกๆ หรูหรา และพรีเมียม บอกเลยว่าหาได้จากรุ่นนี้ได้เลย

ตัวเรือนที่อยู่บนข้อมูลตอนนี้จะเป็นสีขาว Cloud White ที่เป็นสีขาวออกครีมๆ ที่มีความพรีเมียมในตัวมากๆ ครับ

ส่วนใครที่โทนสีเข้มๆ ก็ยังมีสีดำ Summer Black มาเป็นอีกตัวเลือกเช่นกันครับ

สำหรับกรอบเครื่องตรงกลางของตัวเรือนใช้วัสดุแบบอะลูมิเนียมอัลลอยแบบด้าน ทำให้ความรู้ในการสัมผัสนั้นดีมากๆ ดูทนทาน และดูโดดเด่นจริงๆ เมื่อใช้งานข้างนอก

vivo Watch GT มาพร้อมสายรัดที่ถอดเปลี่ยนได้เลย ซึ่งการกดถอดก็ง่ายมากๆ จากด้านล่างของตัวเรือนครับ ซึ่งใครที่ซื้อสายอื่นมาด้วยก็สามารถเปลี่ยนสไลต์การแต่งตัวให้เหมาะมากขึ้นได้ไปด้วย


และความรู้สึกแรกๆ ตั้งแต่ที่หยิบขึ้นมาใช้เลยคือน้ำหนักที่เบามากๆ เพียงแค่ 33 กรัมเท่านั้นเอง (ไม่รวมสาย) เหมาะกับสรีระข้อมือของคนเอเชียแบบเราๆ โดยเฉพาะข้อมือของผู้หญิงที่ใส่ได้แบบไม่รู้สึกเมื่อยมือ พร้อมให้สวมใส่ได้สบายทั้งวัน

ปุ่ม Digital Crown สวยงามพร้อมการใช้งานที่ง่ายขึ้น
สำหรับปุ่ม Digital Crown ที่ใส่มาใน vivo Watch GT ต้องบอกว่า 1 ปุ่ม แต่ได้ 2 ฟังก์ชัน คือ ได้ความสวยงามที่เข้ามาเสริมตัวเรือนให้ดูสมบูรณ์แบบมากขึ้นกว่าเดิม ได้ทั้งความคลาสสิกและความทันสมัยไปควบคู่กันครับ รวมถึงเรายังใช้งานปุ่มนี้ในการกดหรือหมุนเลื่อนได้ด้วยเช่นกันครับ และปุ่ม Digital Crown ยังมีความสวยงามที่แฝงด้วยความทนทานผ่านวัสดุสแตนเลสคุณภาพสูงมีความแข็งแรงทนทาน ควบคู่กับเทคนิคการขัดขอบปุ่มที่ละเอียดเป็นเส้นๆ และยังใส่สีแดงเข้ามาไว้ให้ตัดกับสีขาวของตัวเรือน

ทนน้ำระดับ 2ATM ได้ลึกสูงสุด 20 เมตร
ไม่ใช่แค่ความสวยงามที่ vivo Watch GT ให้เราครับ แต่ความทนทานก็ยังยอดเยี่ยมเหมือนกันด้วยมาตรฐานกันน้ำ 2ATM ที่สามารถกันน้ำได้ลึกสูงสุด 20 เมตร ใครที่ใส่ว่ายน้ำก็ทำได้เลยแบบสบายหายห่วงครับ

หน้าจอขอบโค้ง 1.85″ แบบ AMOLED
vivo Watch GT มีความสวยงามที่หน้าจอที่มาเป็นโค้งไร้ขอบ 2.5D ทำให้จอภาพที่ขนาดใหญ่ 1.85 นิ้ว พร้อมความละเอียด 450 x 390 พิกเซล ซึ่งพาเนลจอจะเป็นแบบ AMOLED ทำให้สีสันคมชัด สวยงาม และสามารถสู้แสงแดดเวลาที่ใช้งานกลางแจ้งได้เป็นอย่างดีครับ

รองรับการใช้งาน Always-on Display
ฟีเจอร์ Always-on Display (AOD) จะเป็นการแสดงผลหน้าจอแบบตลอดเวลา ปกติเวลาหน้าจอดับจะมืดไปเลย แต่ถ้าเปิด AOD จะเป็นการแสดงหน้าปัดแบบแสงอ่อนแสดงตลอดเวลา ทำให้เราไม่ต้องพลิกข้อมือมาดูเวลาครับ ทั้งนี้ การแสดงผลของ AOD ก็จะแตกต่างกันไปในแต่ละหน้าปัดที่เราใช้งานอยู่ด้วยครับ

การเชื่อมต่อทำได้ง่าย พร้อมใช้งานสะดวกด้วย NFC Access Card
การเชื่อมต่อ vivo Watch GT ทำได้ง่ายๆ เพียงแค่โหลดแอปพลิเคชั่น vivo Health (vivo สุขภาพ) ได้เลยบน Google Play Store ครับ (ตอนนี้ฝั่ง iOS ยังไม่สามารถใช้งานได้นะ) จากนั้นก็ทำได้เชื่อมต่อตามขั้นตอนที่ปรากฏบนหน้าจอได้เลย หลังจากเชื่อมต่อเราก็จะได้รับการแจ้งเตือนแอปและการโทรได้เลยผ่านตัวเรือนเลยครับ

และใน vivo Watch GT ยังเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน NFC โดยรองรับการเชื่อมต่อกับบัตรประเภท Access Card เช่น ใช้เป็นบัตรเข้า-ออกคอนโด บัตรจอดรถ บัตรเปิดประตูต่างๆ หรือบัตรโดยสารประจำทางที่ใช้ในการเดินทางได้เลยเช่นกัน เราสามารถเชื่อมต่อบัตรได้ผ่านแอป vivo Health เพื่อกดเพิ่มบัตร จากนั้นก็ให้เราแตะบัตรบนหน้าปัดของ vivo Watch GT ได้เลย โดยเราสามารถเปลี่ยนชื่อบัตรและสีสันของบัตรได้เพื่อไม่ให้สับสนครับ

ฟังก์ชันสุขภาพและกีฬาที่ครบครัน
เราพามาดูฟีเจอร์ด้านสุขภาพกันอีกสักหน่อยครับ ในรุ่นนี้จะมีหมดกีฬาให้ใช้งานมากกว่า 100 โหมด ตั้งแต่ค่าเริ่มต้นที่มีให้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งกลางแจ้ง วิ่งในร่ม ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน ปิงปอง หรือซิตอัป ทั้งนี้เราสามารถเพิ่มกีฬาอื่นๆ ได้อีก เช่น กอล์ฟ การปีนเขา การขี่ม้า กระโดดร่ม หรือแข่งรถ เป็นต้น

แน่นอนว่าการออกกำลังกายก็ต้องมีเป้าหมายกันบ้าง เราสามารถตั้งค่าเป้าหมาย Mini-goals ได้ตามใจชอบของแต่ละคน และเมื่อทำสำเร็จแล้วก็จะได้รับ Achievement Badges ที่จะเป็นการยืนยันว่าเราได้ทำตามเป้าหมายสำเร็จแล้วนั่นเอง


วัดสุขภาพการนอนหลับได้แม่น
ด้านสุขภาพกันหน่อยครับ vivo Watch GT มาพร้อมฟีเจอร์การตรวจวัดสุขภาพการนอนหลับได้ด้วยผ่านเทคโนโลยีช่วยวิเคราะห์การนอนอย่าง CPC (Cardiopulmonary Coupling) Sleep Staging ที่ล้ำสมัย ซึ่งจะมีการตรวจจับช่วงของการนอน 4 ระยะ ได้แก่ หลับลึก หลับตื้น REM และตื่น ทั้งนี้เมื่อเราตื่นนอนแล้วก็จะมีคะแนนการนอนหลับเพื่อให้เรารู้ถึงสุขภาพการนอนได้เลย รวมถึงมีการสรุปอัตราการเต้นของหัวใจ และออกซิเจนในเลือดด้วยครับ



วัดอัตราการเต้นของหัวใจ
แน่นอนว่า vivo Watch GT ก็สามารถวัดอัตราการเต้นของหัวใจได้เช่นกันครับ โดยจะมีความแม่นยำที่ค่อนข้างสูงเลยครับ ซึ่งเราสามารถตั้งค่าให้มีการแจ้งเตือนได้เมื่อมีการเต้นที่สูงหรือต่ำเกินไปครับ

ตรวจออกซิเจนในเลือดได้เรียลไทม์ทั้งวัน !
สำหรับฟีเจอร์นี้จะเป็นการตรวจ SpO2 หรือออกซิเจนในเลือดที่เราสามารถเลือกได้ทั้งแบบจะกดตรวจเองหรือให้ตัวเรือนตรวจอย่างอัจฉริยะตลอดวันครับ ซึ่งผลลัพธ์ที่ควรได้จริงๆ ควรอยู่ที่ 95% ขึ้นไป หรืออย่างน้อยๆ ไม่ต่ำกว่า 90%

แบตเตอรี่สุดอึด ใช้งานได้นานสุด 21 วัน
vivo Watch GT เป็นหนึ่งในสมาร์ทวอทช์ที่ให้แบตเตอรี่มาอึดมากๆ ซึ่งหากชาร์จเต็ม 100% จะใช้งานได้นานสุดในโหมดที่เชื่อมต่อบลูทูธปกติถึง 21 วันเต็มครับ ทำให้อุ่นใจได้แน่นอนว่าเราไม่จำเป็นต้องกลับมาชาร์จทุกวัน หรือทุกๆ 2 วัน

สรุปการใช้งาน vivo Watch GT
จากที่ได้ลองใช้งาน vivo Watch GT ถือเป็นสมาร์ทวอทช์ที่มีความสวยงามของตัวเรือน มีความเบา ใช้งานได้สบายข้อมือทั้งวัน รวมถึงมีการใช้งานที่ครบครัน ทั้งด้านการออกกำลังกายที่มีกีฬากว่า 100 โหมด และด้านการตรวจจับสุขภาพที่มีครบ ทั้งการวัดอัตราการเต้นของหัวใจ, SpO2 หรือการตรวจจับการนอนหลับ และยิ่งใช้งามร่วมกับ vivo V50 Lite ก็ยิ่งดูลงตัวสุดๆ

สรุปราคา vivo V50 Lite และ vivo Watch GT
เรามาดูราคาทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์นี้กันครับ มาเริ่มด้วยพระเอกอย่าง vivo V50 Lite กันเลย โดยมาด้วยกัน 2 ความจุ ดังนี้
- ความจุ 8GB + 256GB (มีสี Phantom Black, Titanium Gold และ Fantasy Purple) : 9,999 บาท
- ความจุ 12GB + 512GB (มีสี Phantom Black และ Titanium Gold) : 12,999 บาท
vivo Watch GT มี 2 สี คือ สีขาว Cloud White และดำ Summer Black โดยราคาอยู่ที่ 3,999 บาท
