Smart Review
รีวิว POCO M3 สมาร์ทโฟนจอใหญ่ แบตอึด 6000mAh และกล้องหลัง 3 เลนส์

รีวิว POCO M3 สมาร์ทโฟนที่เน้นเรื่องความอึดของแบตเตอรี่ถึง 6000mAh ใช้งานได้แบบยาวๆ ไม่มีหมด พร้อมด้วยจอใหญ่ Dot Drop Display ขนาด 6.53 นิ้ว และคมชัดแบบ FHD+ โดยฟีเจอร์อื่นๆ จะมีอะไรน่าสนใจบ้างลองมาดูกันครับ
สรุปข้อมูลและสเปค
- ขนาดตัวเครื่อง : 162.3 × 77.3 × 9.6 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก : 198 กรัม
- หน้าจอแสดงผล Dot Drop Display ชนิด LCD ขนาด 6.53 นิ้ว ความละเอียด FHD+ (2340 x 1080 พิกเซล) อัตราส่วน 19.5:9, Contrast ratio: 1500:1 และครอบทับด้วย Corning Gorilla Glass 3
- หน่วยประมวลผล : Qualcomm Snapdragon 662 Octa Core ความเร็ว 2.0GHz
- GPU : Adreno 610
- RAM 4GB LPDDR4X
- ROM 64/128 GB
- ระบบปฎิบัติการ MIUI 12 for POCO บนพื้นฐาน Android 10
- กล้องถ่ายรูปด้านหลัง 3 เลนส์แบ่งเป็น
- เลนส์หลัก ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.79
- เลนส์ Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4
- เลนส์ Depth ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4
- กล้องหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.05
- รองรับการใช้งานซิมการ์ดแบบ NanoSIM 2 ซิม
- รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 2.4GHz/5GHz, Bluetooth 5.0, ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. และพอร์ต USB Type-C
- แบตเตอรี่ความจุ 6000mAh รองรับ 18W Fast Charge
แกะกล่อง ดีไซน์ตัวเครื่อง และหน้าจอแสดงผล
ก่อนจะไปดู รีวิว POCO M3 มาดูอุปกรณ์ภายในกล่องกันก่อน
- ตัวเครื่อง POCO M3
- อะแดปเตอร์ 22.5W Fast Charge
- สาย USB Type-C
- เคส
- ฟิล์มกันรอยหน้าจอ
- อุปกรณ์เปิดถาดซิม
- คู่มือการใช้งาน
- ใบรับประกันสินค้า

ดีไซน์นั้นมาในรูปแบบที่ไม่เหมือนใคร โดยด้านหลังมีความโค้งเพื่อให้รองรับกับอุ้งมือเพื่อใช้งานได้อย่างสะดวก ทั้งยังใช้วัสดุคล้ายหนังที่ป้องกันรอยนิ้วมือได้เป็นอย่างดี แถมไม่ลื่นมืออีกด้วย ซึ่งสีที่เราได้มาเป็นสีดำ Power Black


ขณะที่ตัวโมดูลกล้องส่วนบนจะยาวทั้งแถบโดยฝั่งซ้ายจะเป็นตัวเลนส์กล้อง 3 เลนส์ และตัวกระจกจะยาวไปถึงฝั่งขวา จบด้วยโลโล้ POCO

หน้าจอแสดงผลมาแบบ Dot Drop Display ที่มีขนาดใหญ่ 6.53 นิ้ว คมชัดระดับ Full HD+ และมีอัตราส่วน 19.5:9 ทำให้รับชมสิ่งต่างๆ ได้แบบเต็มตา

เหนือหน้าจอแสดงผลจะเป็นลำโพงสนทนาและเป็นลำโพงที่ 2 อีกด้วย ถัดลงมาเป็นหยดน้ำที่มีกล้องหน้าอยู่

ทางซ้ายตัวเครื่องช่องใส่ซิมการ์ดแบบ NanoSIM 2 ช่อง และ MicroSD อีก 1 ช่อง

ส่วนทางขวามีปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง และถัดลงมาเป็นปุ่ม Power ที่ใช้งานเป็นการสแกนลายนิ้วมือได้ด้วย

ขณะที่ด้านล่างมีไมโครโฟนตัวที่ 1, พอร์ต USB Type-C และลำโพงตัวหลัก

ด้านบนตัวเครื่องมีเซ็นเซอร์อินฟราเรด IR Blaster, ช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. และไมโครโฟนตัวที่ 2

และสุดท้ายที่ด้านหลังมีกล้องหลัง 3 เลนส์ พร้อมไฟแฟลช LED

ซอฟต์แวร์ และฟังก์ชั่นการใช้งาน
ระบบปฎิบัติการ
POCO M3 ได้รันบนระบบปฏิบติการ Android 10 โดยครอบทับด้วย MIUI 12 for POCO ที่เป็น UI ที่ได้รับการปรับแต่งมาโดยเฉพาะครับ

หน้าตา UI : MIUI 12 for POCO




ระบบความปลอดภัย
POCO M3 ให้ความสะดวกสบายในการใช้งานเรื่องการปลดล็อกเครื่องด้วยการสแกนลายนิ้วมือด้านข้างตัวเครื่องครับ แนะนำว่าให้ใช้นิ้วโป้งมือขวาและนิ้วกลางมือซ้ายก็จะพอดีเป๊ะๆ หยิบขึ้นมาใช้งานได้ทันที

ส่วนใครที่จะสแกนใบหน้าเพื่อปลดล็อกก็ได้เช่นกันครับ มีความรวดเร็วไม่ต่างกับการสแกนลายนิ้วมือเลย

Dual Speakers ใช้งานลำโพงคู่ได้แบบกระหึ่ม
ใครที่เป็นสายเกมจะต้องชอบแน่นอน เพราะ POCO M3 มาพร้อมลำโพงคู่โดยไม่จำเป็นต้องเสียบหูฟัง โดยลำโพงด้านบนและล่างจะเปล่งเสียงออกมาทั้งคู่ มีการแยกเสียงซ้ายและขวาอย่างชัดเจนครับ และที่สำคัญคือลำโพงทั้ง 2 มีความดังใกล้เคียงกันด้วย

สีเข้มขึ้นพร้อมใช้งานสบายดวงตาด้วย Dark Mode
POCO M3 ก็มี Dark Mode มาให้ใช้เช่นกันครับ โดยจะเปลี่ยนพื้นหลังของระบบเป้นสีดำทั้งหมดเพื่อความสบายในการใช้งานในที่แสงน้อย ซึ่งเราสามารถเปิดได้เองหรือเปิดตามกำหนดเวลาได้เช่นกัน






โหมดอ่านหนังสือก็มีมาให้
สำหรับโหมดนี้จะเป็นเหมือนโหมดถนอมสายตาครับ โดยจะเพิ่มความอุ่นของการแสดงผลพร้อมลดแสงสีฟ้าลงไปทำให้เวลาเราอ่านบทความหรือ E-Book ก็ทำให้สบายดวงตามากขึ้น ทั้งนี้หน้าจอก็ยังได้รับการรับรองจาก TÜV Rheinland Low Blue Light เพื่อช่วยถนอมสายตาอยู่แล้วด้วย

ประสิทธิภาพ การเล่นเกม และแบตเตอรี่
หน่วยประมวลผลของรุ่นนี้ใช้ชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 662 ที่มีสถาปัตยกรรมขนาด 11 นาโนเมตร พร้อม GPU Adreno 610 ทำให้ใช้งานทั่วไปและเล่นเกมได้ไหลลื่นมากๆ โดยจะมี RAM มาให้ 4/6GB และ ROM ถึง 128GB ที่จะโหลดแอปหรือเกมต่างๆ ได้ไม่ต้องกลัวเต็มครับ

ส่วนผลการทดสอบด้วยโปรแกรม Geekbench 5 ทำคะแนนฝั่ง Single-Core ไปที่ 316 และคะแนน Multi-Core ที่ 1,361

เพิ่มความแรงด้วย Game Turbo
Game Turbo เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพก่อนการเล่นเกม โดยเราสามารถปิดการแจ้งเตือนแอปได้ รวมถึงสามารถปัดขวาจากมุมซ้ายบนการบอกการใช้งาน GPU, CPU และเฟรมเรทได้แบบเรียลไทม์ด้วยเช่นกันครับ

ทดสอบการเล่นเกม
ROV

สำหรับเกม ROV สามารถเปิดการแสดงผลได้ในระดับสูง ควบคู่ภาพ HD ระดับสูงมาก และเฟรมเรทสูงได้ โดยเราทดสอบการเล่นโหมด 5 VS 5 ก็เล่นได้แบบเฟรมเรทนิ่งๆ ประมาณ 58-60fps ตลอดทั้งเกม ตามสไตล์ของชิปจาก Qualcomm ครับ






PUBG Mobile

ส่วนเกม PUBG Mobile สามารถเปิดได้กราฟิกได้ในระดับสมดุล และเฟรมเรทระดับกลางเท่านั้น แต่จะมีการอัปเดทให้ใช้งานกราฟิกสูงขึ้นในอนาคตแน่นอน ในการเล่นในเกมทั่วไปสามารถเล่นได้ปกติและไหลลื่นตามปกติ โดยสัมผัสหน้าจอการจะมีดีเลย์บ้างเล็กน้อยแต่ไม่ได้ส่งผลอะไรมากครับ







Asphalt 9: Legends

และสุดท้ายกับเกม Asphalt 9: Legends เกมแข่งรถกราฟิกแรงๆ สามารถเปิดได้ในระดับปกติครับ ภาพในเกมสวยงามตามท้องเรื่อง และเล่นได้ไหลลื่น เฟรมเรทก็ไม่มีตก





แบตเตอรี่สุดอึด เล่นเกมได้เกินครึ่งวันแบบไม่มีพัก
สมาร์ทโฟนรุ่นนี้เน้นความอึดของแบตเตอรี่ด้วยการให้มาถึง 6000mAh ซึ่งการใช้งานทั่วไปนั้นอยู่ในตลอดวันแน่นอนอยู่แล้วครับ แต่ถ้าใครมาสายเกมสักหน่อยก็อาจจะได้ชาร์จกันสักรอบครับ ซึ่งในการชาร์จก็รองรับ 18W Fast Charge ซึ่งทดสอบชาร์จจากประมาณ 20% – 80% ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆ ครับ และเต็มในเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 40 นาที

กล้องถ่ายรูป
นอกจากเรื่องจอใหญ่ แบตอึดๆ และสเปคที่ใช้งานได้ไหลลื่นแล้ว เรื่องกล้องก็ถือว่าใช้งานได้จัดเต็มเช่นกันด้วยกล้องความละเอียดสูงสุดถึง 48 ล้านพิกเซล ทำให้การถ่ายในโหมดปกตินั้นคมชัดยิ่งขึ้น

AI อัจฉริยะถ่ายได้คมชัดด้วยเลนส์คมชัดสูง
POCO M3 นั้นมาพร้อมเลนส์หลักที่ความละเอียดสูงถึง 48 ล้านพิกเซลครับ ซึ่งเราสามารถถ่ายในโหมดปกติทำให้รวมพิกเซลมาอยู่ที่ 12 ล้านพิกเซล ช่วยให้แสงและเงาชัดเจน ภาพมีความสว่างมากขึ้น ทั้งยังมี AI เพื่อบ่งบอกหมวดหมู่ของแต่ละวัตถุได้อย่างแม่นยำด้วย









Portrait ถ่ายได้เนียนตา เบลอได้ชัด และปรับแต่งได้ตามใจชอบ
ฟีเจอร์ Portrait ก็ยังใช้งานได้แบบเนียนตาอย่างมากครับ ตัดขอบรอบตัวบุคคลได้เนียนตา แทบไม่มีหลุด ซึ่งใบหน้าของบุคคลก็ยังสว่างและไม่มืดอีกด้วย ทั้งยังใช้งานได้สวยงามทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง
กล้องหลัง



กล้องหน้า



นอกจากนี้ เรายังสามารถปรับการเบลอหรือค่ารูรับแสงได้ตามใจชอบหลังจากที่ถ่ายภาพเสร็จในโหมด Portrait โดยกว้างสุดที่ f/1.0 และแคบสุดที่ f/16 ขณะที่กล้องหน้าเราสามารถปรับแสงสตูดิโอได้ด้วยเช่นกัน






ถ่ายกลางคืนได้ถ่ายสวยงามและสว่างชัดเจน
POCO M3 ก็สามารถถ่ายโหมดกลางคืนได้เช่นกัน โดยการรอประมวลผลอยู่ที่ประมาณ 4-5 วินาทีครับ ถือว่าไม่นานเท่าไหร่ แต่ก็จะได้ภาพที่มีภาพคมชัดและสว่างกว่าโหมดปกติชัดเจน
โหมดปกติ / โหมดกลางคืน





ถ่าย Macro ได้ใกล้สุด 4 เซนติเมตร
เลนส์ที่ 3 ที่มีให้ใช้งานกันจะเป็นเลนส์ Macro ช่วยให้ถ่ายภาพในระยะใกล้ได้ โดยสีสันของภาพถือว่ายังจัดจ้านอยู่ และเห็นรายละเอียดใกล้ๆ ของภาพได้ชัดเจน




เซลฟี่ได้สวยงาม เห็นฉากหลังได้ครบถ้วน
นอกจากที่กล้องหน้าจะสามารถถ่าย Portrait ได้ ก็ยังสามารถถ่ายโหมดปกติได้เหมือนกัน โดยเราจะเห็นฉากหลังได้คมชัดและสวยงาม


สรุปจุดเด่น
- หน้าจอแสดงผล Dot Drop Display ขนาด 6.53 นิ้ว คมชัดระดับ FHD+ ใช้งานได้เต็มตาแน่นอน
- แบตเตอรี่พันธ์อึด 6000mAh ใช้งานได้เต็มวัน พร้อมชาร์จเร็ว 18W
- กล้องหลัง 3 เลนส์ คมชัดสูงสุด 48 ล้านพิกเซล ใช้งานได้ครบถ้วนทั้ง AI, Macro และ Portrait
- ชิพ Qualcomm Snapdragon 662 ทำให้ใช้งานได้อย่างไหลลื่น และมี RAM สูงสุด 4GB และ ROM 128GB จุได้เต็มที่ไม่ต้องกลัวเต็ม
- รองรับลำโพงคู่โดยไม่ต้องใช้หูฟังเข้าช่วย ทำให้ฟังเพลงหรือเล่นเกมได้เต็มอรรถรส
จุดสังเกตเพิ่มเติม
- ไม่มีหูฟังภายในกล่อง
ได้เห็น รีวิวกันไปแล้ว ก็มาถึงราคากันบ้าง โดยจะวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการบนแพลตฟอร์ม Lazada เท่านั้น ที่ลิงก์ https://bit.ly/3790VXG ตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2563 เป็นต้นไป
วางจำหน่าย 2 รุ่น โดยมี 3 สี ได้แก่ Cool Blue, POCO Yellow และ Power Black
- ขนาดความจุ 4GB+64GB จะวางจำหน่ายในราคา 4,499 บาท
- ขนาดความจุ 4GB+128GB จะวางจำหน่ายในราคา 4,999 บาท
พิเศษ! ราคาเอาใจคนรักเทคโนโลยี เมื่อสั่งซื้อก่อนใครบนแพลตฟอร์ม Lazada ในระหว่างวันที่ 12-20 ธันวาคม 2563 นี้ ความจุ 4GB+64GB ราคาพิเศษเพียง 3,999 บาท และ ความจุ 4GB+128GB ราคาพิเศษเพียง 4,499 บาท
Smart Review
รีวิว OPPO Reno5 Series 5G สุดยอดการถ่ายวิดีโอ Portrait พร้อมฟีเจอร์สุดล้ำ, สเปกแรง และดีไซน์เด่น ในราคาหมื่นต้น

เรียกว่าประเดิมได้อย่างสวยงามสำหรับ OPPO ที่เปิดตัว OPPO Reno5 Series 5G ในสโลแกน Picture Life Together ที่สุดของการถ่ายภาพและวิดีโอ Portrait แบบไม่เหมือนใคร ด้วยฟีเจอร์สุดล้ำมากมายให้ลองเล่น ทั้งยังมีขุมพลังตัวแรง รองรับ 5G และแบตเตอรี่อึดๆ โดยครั้งนี้ก็มีถึง 2 รุ่น ได้แก่ OPPO Reno5 และ OPPO Reno5 5G ซึ่งมีความคล้ายกันมาก ส่วนจะต่างกันตรงไหนบ้างเราจะบอกให้แน่นอนครับ
สรุปสเปค OPPO Reno5
- ขนาดตัวเครื่อง (Starry Black) : 159.1 x 73.3 x 7.7 มม.
- ขนาดตัวเครื่อง (Fantasy Silver) : 159.1 x 73.3 x 7.8 มม.
- น้ำหนัก : 171 กรัม
- หน้าจอแสดงผล AMOLED ขนาด 6.43 นิ้ว ความละเอียด FHD+ (2400 x 1080 พิกเซล), 410ppi อัตราส่วน 20:9 รองรับ Refresh Rate 90Hz และ Touch sampling rate สูงสุด 180Hz
- หน่วยประมวลผล : Qualcomm Snapdragon 720G Octa Core ความเร็ว 2.3GHz
- GPU : Adreno 618
- RAM : 8GB LPDDR4x
- ROM : 128GB UFS 3.1 รองรับ microSD Card สูงสุด 256GB
- กล้องถ่ายรูปหลัง 4 เลนส์ แบ่งเป็น
- เลนส์หลักความละเอียด 64 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.7
- เลนส์ Ultra Wide Angle มุมกว้าง 119 องศา ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2
- เลนส์ Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4
- เลนส์ Mono ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4
- กล้องหน้าความละเอียด 44 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4
- ระบบปฏิบัติการ Android 11 ครอบทับด้วย ColorOS 11
- รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11a/b/g/n/ac, Bluetooth 5.1, ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. และพอร์ต USB Type-C
- แบตเตอรี่ความจุ 4310 mAh รองรับ 50W Flash Charging
สรุปสเปค OPPO Reno5 5G
- ขนาดตัวเครื่อง : 159.1 x 73.4 x 7.9 มม.
- น้ำหนัก (Starry Black) : 172 กรัม
- น้ำหนัก (Galactic Silver) : 180 กรัม
- หน้าจอแสดงผล AMOLED ขนาด 6.43 นิ้ว ความละเอียด FHD+ (2400 x 1080 พิกเซล), 410ppi อัตราส่วน 20:9 รองรับ Refresh Rate 90Hz และ Touch sampling rate สูงสุด 180Hz
- หน่วยประมวลผล : Qualcomm Snapdragon 765G Octa Core ความเร็ว 2.4GHz
- GPU : Adreno 620
- RAM : 8GB LPDDR4x
- ROM : 128GB UFS 2.1
- กล้องถ่ายรูปหลัง 4 เลนส์ แบ่งเป็น
- เลนส์หลักความละเอียด 64 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.7
- เลนส์ Ultra Wide Angle มุมกว้าง 119 องศา ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2
- เลนส์ Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4
- เลนส์ mono ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4
- กล้องหน้าความละเอียด 32 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4
- ระบบปฏิบัติการ Android 11 ครอบทับด้วย ColorOS 11
- รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11a/b/g/n/ac, Bluetooth 5.1, ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. และพอร์ต USB Type-C
- รองรับเครือข่าย 5G
- แบตเตอรี่ความจุ 4300 mAh รองรับ 65W SuperVOOC 2.0
แกะกล่อง ดีไซน์ตัวเครื่อง และหน้าจอแสดงผล
อุปกรณ์ภายในกล่องมีดังนี้
- ตัวเครื่อง OPPO Reno5 หรือ Reno5 5G พร้อมติดฟิล์มกันรอย
- อะแดปเตอร์ 65W SuperVOOC 2.0 เหมือนกัน
- หูฟังแบบ 3.5 มม.
- สาย USB Type-C
- อุปกรณ์เปิดถาดซิม
- เคสใส
- คู่มือการใช้งานเบื้องต้น

ถ่ายวิดีโอ Portrait ขั้นสุด
มาเริ่มกันที่ตัวชูโรงใน OPPO Reno5 Series 5G อย่างการถ่ายวิดีโอต้องบอกว่านี่คือตัวชูโรงที่ห้ามพลาดเด็ดขาดใน Reno5 และ Reno5 5G ครับ โดยมีอยู่หลายฟีเจอร์แปลกใหม่ให้ใช้งานกันเลยทีเดียว
AI Mixed Portrait: (เฉพาะ OPPO Reno5)
มาเริ่มกันที่ฟีเจอร์ที่ยังไม่มีสมาร์ทโฟนรุ่นไหนในโลกทำได้ครับ นั่นคือ AI Mixed Portrait บนวิดีโอ ที่เป็นการใช้ Double Exposure Effect มาใช้ในการถ่ายวิดีโอ ซึ่งปกติมักจะอยู่ในการถ่ายภาพนิ่งเท่านั้น โดยวิดีโอในฟีเจอร์นี้จะเป็นการทับซ้อน 2 วิดีโอได้อย่างสวยงาม แถมการตัดขอบก็ทำได้เนียนระดับที่ดีเลยทีเดียว เรียกได้ว่าสร้างสรรค์วิดีโอออกได้อย่างอิสระตามใจชอบเลย
Dual-view Video (มีทั้ง 2 รุ่น)
Dual-view Video เป็นการรองรับการถ่ายวิดีโอทั้งกล้องหน้าและกล้องหลังพร้อมกันในครั้งเดียวครับ ซึ่งสาย Vlog น่าจะชอบมากๆ เพื่อให้ได้เห็นทั้งบรรยากาศและรีแอ็คของตัวเราได้พร้อมกันทันที ซึ่งการแบ่งสัดส่วนจะมีให้เลือก 3 แบบ ได้แก่ Split (แบ่งครึ่งหน้าจอเท่ากัน), Round (กลม) และ Rectangle (สี่เหลี่ยม) ซึ่ง 2 อย่างหลังสามารถเลื่อนกรอบได้ตามสบายครับ
AI Highlight Video
ฟีเจอร์นี้นั้นเป็นการถ่ายวิดีโอที่ให้เราได้พร้อมใช้ในทุกสถานการณ์ โดย AI จะปรับความสว่างและคุณภาพของวิดีโอได้อัตโนมัติ ซึ่งหลักๆ จะแบ่งได้ 2 หมวด ได้แก่ Ultra Night Video เพื่อใช้งานในที่แสงน้อยให้สว่างและคมชัดมากขึ้น และ Live HDR เพื่อถ่ายในช่วงกลางวันหรือย้อนแสงได้

Monochrome Video (เฉพาะ OPPO Reno5)
สำหรับ Monochrome Video จะเป็นฟิลเตอร์ที่เปลี่ยนให้ฉากหลังเป็นขาวดำแต่ตัวบุคคลยังคงสีสันไว้อยู่ คล้ายกับการถ่ายภาพนิ่งครับ แต่นี่จะเป็นการใช้งานผ่านวิดีโอแทน ทั้งนี้ เรายังสามารถเลือกสีไฮไลท์ได้เฉพาะสีแดง, เขียว หรือน้ำเงินก็ได้เช่นกัน
Portrait Beautification Video
ฟีเจอร์นี้น่าจะถูกในสาย Vlog อีกแน่นอนครับ เพราะเป็นการทำให้ใบหน้าสวยเนียนเป็นธรรมชาติมากขึ้นในกล้องหน้า โดย AI จะตรวจจับเพศ,สีผิว และอายุให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคลทันที หรือถ้าใครจะปรับเองก็ทำได้ตั้งแต่ 0-100%

Ultra Steady Video 3.0
สำหรับระบบกันสั่นไหวใน OPPO Reno5 Series 5G มีความพิเศษมากขึ้นด้วยการรองรับถึง 3 เลนส์ในเครื่องเดียว ไม่ว่าจะเป็นกล้องหน้า, เลนส์หลักกล้องหลัง หรือเลนส์ Ultra-Wide Angle (เมื่อเปิดโหมด Pro Video) ซึ่งทั้ง 3 เลนส์ถ่ายออกมาได้ดีครับ เห็นความแตกต่างจากโหมดปกติพอสมควร

ตัดต่อได้อิสระด้วย SOLOOP
ใครที่เป็นแฟนๆ OPPO จะต้องรู้จักแอปพลิเคชั่น SOLOOP เป็นอย่างดีครับ โดยเราสามารถนำวิดีโอในเครื่องมาสร้างคลิปได้อย่างง่ายๆ โดยมีให้เลือกหลากหลายอารมณ์ ทั้งสนุกสนาน, แอคชั่น หรือจะเน้นดราม่าก็ยังได้

กล้องถ่ายรูป
OPPO Reno5 Series 5G มีมาให้เหมือนกันทั้งหมดอย่างกล้องหลัง ไม่ว่าจะเป็นเลนส์หลักความละเอียดสูงสุด 64 ล้านพิกเซล พร้อมเลนส์ Ultra-Wide, Macro และ Mono ซึ่งฟีเจอร์ต่างๆ ก็พร้อมให้ใช้งานเหมือนกันอีกด้วยครับ แต่จะต่างกันเล็กน้อยในส่วนของการถ่ายวิดีโอ โดยแต่ละฟีเจอร์จะมีอะไรบ้างเรามาดูกันเลยครับ
ความละเอียดสูงสุด 108 ล้านพิกเซล Ultra-clear 108MP Image
แม้ว่า OPPO Reno5 Series 5G จะมีเลนส์หลักความละเอียด 64 ล้านพิกเซล แต่ก็มีความสามารถในการถ่ายออกมาความละเอียดสูงสุดถึง 108 ล้านพิกเซล ที่ให้ความคมชัดและรายละเอียดในภาพมากกว่าเดิม สามารถซูมและขยายภาพได้ดีขึ้น ที่สำคัญ เราสามารถใช้ประโยชน์นี้เพื่อให้ได้หลายสถานการณ์ในภาพเดียวจากการครอปภาพในมุมต่างๆ นั่นเองครับ


ฉลาดล้ำด้วยเทคโนโลยี AI Scene Enhancement
OPPO Reno5 Series 5G ทั้ง 2 รุ่นยังมาพร้อมกับ AI ที่สามารถระบุหมวดหมู่ของวัตถุที่เรากำลังถ่ายได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ เพื่อปรับแต่งสีสันและความสว่างให้เหมาะสมกับแต่ละวัตถุที่แตกต่างกัน ซึ่ง AI ใน 2 รุ่นนี้สามารถแยกได้ถึง 22 หมวด ได้แก่ ชายหาด, ท้องฟ้า, ฉากแมว, ข้อความ, สุนัข, ดอกไม้ไฟ, อาหาร, สนามหญ้า, ที่ร่ม, ฉาก, ทารก, วิวทิวทัศน์, ในตอนกลางคืน, หิมะ, แสงไฟที่สว่างจ้า, พระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์, ใบหน้าของมนุษย์, ฉากที่มีหลายใบหน้า, ย้อนแสง, ฉากดอกไม้, ต้นไม้สีเขียว, สีทึบ และลวดลายซ้ำกัน
Ultra-Wide Angle มุมมกว้างขึ้นสุด 119 องศา
ทั้ง OPPO Reno5 และ OPPO Reno5 5G ให้เลนส์ Ultra-Wide Angle มาที่มุมกว้างถึง 119 องศาครับ โดยภาพที่ได้ออกมาแทบจะไม่ต่างกันทั้งเรื่องสีสันที่ความสดใส ภาพมีความสว่าง พร้อมเห็นแสงและเงาได้ชัดเจน
เลนส์หลัก / เลนส์ Ultra-Wide Angle
ถ่าย Portrait ได้สวยเนียน พร้อมความคมชัดแม้เคลื่อนไหวอยู่
สำหรับโหมด Portrait ได้รับการปรับปรุงเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยมีเทคโนโลยี Image-clear Engine (ICE) เข้ามาช่วยให้ถ่ายภาพบุคคลคมชัดและไม่เกิดอาการเบลอเวลาขยับ ทั้งนี้ ในเรื่องของใบหน้าสวยงามก็ทำอออกได้ดีมากๆ ตามฉบับของ OPPO Reno Series ที่ปรับได้ตั้งแต่ 0% – 100% แต่ก็ยังคงความเป็นธรรมชาติอยู่
กล้องหลัง
กล้องหน้า
ในรุ่น OPPO Reno5 ที่เน้นการถ่าย Portrait อยู่แล้ว ก็ยังมีฟีเจอร์ AI Color Portrait เพื่อเป็นลูกเล่นให้ดูไม่จำเจ โดยตัวบุคคลจะยังคงมีสีสัน ขณะที่พื้นหลังเป็นสีขาวดำทั้งหมด ที่สำคัญฟีเจอร์นี้ยังใช้งานได้ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลังเลยด้วย
กล้องหลัง
กล้องหน้า
ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ครับ เพราะเลนส์ Mono ของทั้ง 2 รุ่นก็ถ่ายภาพในเฉดที่ดูย้อนยุคได้เช่นกันและให้ความรู้สึกของภาพได้อีกแบบ
โบเก้สวยงามขึ้นในตอนกลางคืนด้วย Night Flare Portrait
ปกติแล้วเมื่อเราถ่ายภาพ Portrait ในโหมดปกติ พื้นหลังจะมีการเบลอฉากหลังแบบเท่าๆ กัน แต่ในโหมดนี้ฉากหลังจะเบลอมากขึ้น เพิ่มโบเก้ของดวงไฟให้ชัดเจนมากๆ และความสว่างในภาพก็มีมากขึ้นไปด้วย
โหมด Portrait / โหมด Night Flare Portrait
Ultra Dark Mode ถ่ายกลางคืนได้สว่าง พร้อม Noise ที่น้อยลง
OPPO Reno5 Series 5G ทั้ง 2 รุ่นนี้ก็มาพร้อม Ultra Dark Mode ที่พัฒนาขึ้นกว่าเดิม โดยใช้การประมวลผลประมาณ 7 วินาที แต่แลกมาด้วย Noise ที่แทบไม่มีให้เห็น ซึ่งความสว่างในภาพของวัตถุก็ชัดเจนมากขึ้นแถมสีสันก็ตรงกับของจริงอีกด้วย
โหมดปกติ / Ultra Dark Mode
ถ่ายได้ใกล้ด้วยเลนส์ Macro
สำหรับเลนส์ Macro ทั้ง 2 รุ่นก็สามารถถ่ายได้ใกล้สุดๆ ที่ 4 เซนติเมตร โดยการโฟกัสก็ทำได้เร็วขึ้นและสีสันก็มีการปรับปรุงด้วยครับ ซึ่งก็ถ่ายออกมาได้ไม่ต่างกันครับ
กล้องหน้าความละเอียดสูง
ในกล้องหน้ามีความแตกต่างกันเล็กน้อยครับ โดย OPPO Reno5 มีคาวมคมชัดสูงกว่าอยู่ที่ 44 ล้านพิกเซล ส่วน OPPO Reno5 5G มีความละเอียด 32 ล้านพิกเซล แต่ทั้งคู่ก็ถ่ายออกมาให้มีความคมชัดในระดับสูงแทบไม่ต่างกัน พร้อมรองรับ HDR ได้ด้วย
เซลฟี่กลางคืนได้ด้วย Ultra Night Selfie Mode
นอกจากกล้องหลังจะถ่ายโหมดกลางคืนได้แล้ว กล้องหน้าของทั้ง 2 รุ่นก็ถ่ายได้เช่นกันครับ โดยจะได้ประโยชน์ในตอนนี้ที่เราต้องการเซลฟี่ในตอนกลางคืนหรือในช่วงที่มีแสงน้อยครับ ซึ่งใบหน้ามีความสว่างและคมชัดมากขึ้น
โหมดปกติ / Ultra Night Selfie Mode
ดีไซน์สวยงามด้วยกระบวนการ Diamond Spectrum Process
สำหรับดีไซน์ของ OPPO Reno5 Series 5G ทั้ง 2 รุ่นนี้ ใช้กระบวนการผลิตฝาหลังเหมือนกันเป็น Diamond Spectrum Process เกิดเป็นสี Fantasy Silver (OPPO Reno5) และ Galactic Silver (OPPO Reno5 5G) ที่ให้ลวดลายมีหลากสีสันอย่างสวยงาม ขึ้นอยู่กับแสงที่กระทบเข้ามาที่ด้านหลัง ซึ่งจะแบ่งสีได้ถึง 5 สี ได้แก่ สีเขียว สีเหลือง สีฟ้า สีม่วง และ สีส้ม ทั้งยังมีฝาหลังแบบด้านให้ความพรีเมี่ยมและทำให้เกิดรอยนิ้วมือน้อยลงอีกด้วย


นอกจากนี้ทั้ง 2 รุ่นก็ยังมีสีดำ Starry Black ที่เป็นฝาหลังแบบเงาสะท้อนสุดคลาสสิก ให้ความเข้มอีกด้วย

ทั้งนี้ OPPO Reno5 Series 5G ยังมีตัวเครื่องสุดบางจับถือได้อย่างสะดวกสุดๆ โดย OPPO Reno5 มีน้ำหนักเบาเพียง 171 กรัม และความหนาเพียง 7.7 มม. ในสี Starry Black ขณะที่สี Fantasy Silver มีความหนา 7.8 มม.
ส่วน OPPO Reno5 5G มีความบาง 7.9 มม. และน้ำหนักเบาพิเศษเพียง 172 กรัมเท่านั้นในสีดำ Starry Black ขณะที่สี Galactic Silver มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 180 กรัม

หน้าจอแสดงผลของทั้ง 2 รุ่นมาเหมือนกับครับ โดยมาในพาเนล AMOLED ขนาด 6.43 นิ้ว คมชัดระดับ FHD+ สามารถรับชมคอนเทนต์ต่างๆ ได้เต็มตาและสวยงามแน่นอน


ที่สำคัญยังมี Refresh Rate 90Hz และ Touch sampling rate สูงสุด 180Hz ให้ใช้งานกันได้แบบลื่นๆ และตอบสนองได้ไวสุดทั้งการใช้งานทั่วไปหรือเล่นเกม

เหนือหน้าจอ OPPO Reno5 Series 5G เป็นกล้องหน้า Punch Hole ที่ฝังอยู่ในมุมซ้ายบนเหมือนกัน พร้อมลำโพงสำหรับสนทนาตรงกลาง

ด้านล่างเรียงจากซ้ายไปขวาจะมีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม., ไมโครโฟนตัวที่ 1, พอร์ต USB Type-C และลำโพงตัวหลัก

ด้านบนมีเพียงลำโพงตัวที่ 2 สำหรับการตัดเสียงรบกวน

ทางซ้ายตัวเครื่องมีช่องใส่ซิมการ์ดแบบ NanoSIM 2 ช่องเหมือนกัน แต่ OPPO Reno5 จะมีช่องใส่ MicroSD Card เพิ่มมาให้อีก 1 ช่อง รวมเป็น 3 Slot ครับ ถัดลงไปเป็นปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง


ขณะที่ทางขวามีปุ่ม Power เท่านั้น

สุดท้ายด้านหลังมีกล้อง 4 เลนส์มีทั้งเลนส์หลัก, Ultra-Wide Angle และ Macro อยู่ฝั่งซ้าย โดยมีเลนส์ Mono อยู่มุมขวาบน และขวาล่างจะมีไฟแฟลช LED

ซอฟต์แวร์ และฟังก์ชั่นการใช้งาน
ระบบปฎิบัติการ
OPPO Reno5 Series 5G แกะกล่องมาพร้อมระบบปฏิบัติการ Android 11 ครอบทับด้วย ColorOS 11 ที่เป็น UI รุ่นล่าสุดของ OPPO ครับ ซึ่งฟีเจอร์และหน้าตาต่างๆ ก็เปลี่ยนไปเยอะเลยทีเดียว แถมความไหลลื่นในการใช้งานก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดครับ

รองรับ 5G สุดเร็วแรง (เฉพาะ OPPO Reno5 5G)
OPPO Reno5 5G นั้นมาพร้อมกับการรองรับเครือข่าย 5G ที่ทำให้ใช้งานผ่านเครือข่ายได้อย่างไหลลื่น ไม่ว่าจะโหลดแอปพลิเคชั่นหรือโหลดภาพยนตร์ก็ทำได้รวดเร็วมากๆ ซึ่ง 5G ยังช่วยให้ค่าความหน่วยระหว่างการเล่นเกมลดลงด้วย ทำให้ระหว่างการเล่นจะเป็นแบบเรียลไทม์มากยิ่งขึ้น


แสดงผลนาฬิกาพร้อมแจ้งเตือนผ่านฟีเจอร์ Always-on Display
สำหรับ Always-on Display ที่เป็นการบอกสถานะเบื้องต้นบนหน้าจอล็อกก็ทำลูกเล่นเพิ่มขึ้นด้วยรูปแบบที่มีให้เลือกเพียบ เช่น รูปแบบนาฬิกาแบบกำหนดเอง, เป็นตัวอักษรที่เปลี่ยนได้ตามใจชอบ, ข้อความและภาพ, นาฬิกาอะนาล็อก และนาฬิกาดิจิทัล


การปรับเปลี่ยนแอนิเมชั่นสุดอิสระ
ColorOS 11 ให้เราได้เปลี่ยนรูปแบบการเคลื่อนไหวจากการใช้งานต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบลายนิ้วมือ, การจัดวางแอพ, ลักษณะไอคอน หรือสี เป็นต้น

Dark Mode ที่สามารถปรับแต่งได้
OPPO Reno5 Series 5G มาพร้อมกับฟีเจอร์โหมดกลางคืน (Dark Mode) ที่เปลี่ยนเป็นธีมมืดได้

แต่มีความพิเศษนั้นเพิ่มขึ้นคือเลือกได้ 3 ระดับ ได้แก่ ขั้นสูง (Enhanced), กลาง (Medium) และอ่อนโยน (Gentle) ซึ่งจะเป็นระดับของสีพื้นหลังครับ

Smart AirControl ควบคุมได้ไม่ต้องแตะจอ (เฉพาะ OPPO Reno5)
กลับมาอีกครั้งสำหรับฟีเจอร์ Smart AirControl ที่ให้เราได้ควบคุมหน้าจอได้เพียงแค่ปัดฝ่ามือขึ้นลง เช่น การเลื่อนฟีดของ Facebook หรือการรับโทรศัพท์ ซึ่งฟีเจอร์นี้จะใช้ประโยชน์ได้มากเมื่อเรามือเลอะแล้วมีคนโทรมา


ปรับหน้าต่างแอปได้อิสระด้วย FlexDrop
OPPO Reno5 Series 5G ให้เราปรับหน้าต่างของแอปพลิเคชั่นได้อย่างอิสระมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นหน้าต่างแบบลอย, หน้าต่างขนาดเล็ก หรือจะเป็นหน้าจอแบ่งส่วนเพื่อใช้งานแบบครึ่งๆ จอร่วมกับอีก 1 แอปได้

ระบบความปลอดภัย
ด้านระบบความปลอดภัย ทั้ง 2 รุ่นนี้มาพร้อมกับเทคโนโลยีการสแแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอ ซึ่งใช้งานได้อย่างรวดเร็วและสเถียรมากๆ ครับ

ขณะที่การสแกนใบหน้าก็ทำได้อย่างรวดเร็วและแยกแยะใบหน้าได้ดี

ประสิทธิภาพ การเล่นเกม และแบตเตอรี่
ในด้านหน่วยประมวลผล OPPO Reno5 5G ขับเคลื่อนด้วยหน่วยประมวลผล Qualcomm Snapdragon 765G Octa Core ส่วน OPPO Reno5 นั้นใช้ Snapdragon 720G ซึ่งบอกเลยว่าการใช้งานทั่วไปหรือเล่นเกมทำได้รวดเร็วไม่ต่างกันมากครับ แถมทั้งคู่ยังให้ RAM มาถึง 8GB และความจุอีก 128GB เหมือนกันด้วย

ผลการทดสอบด้วยโปรแกรม Geekbench 5 ของ OPPO Reno5 ทำคะแนนฝั่ง Single-Core ไปที่ 567 และคะแนน Multi-Core ที่ 1,649

ผลการทดสอบด้วยโปรแกรม Geekbench 5 ของ OPPO Reno5 5G ทำคะแนนฝั่ง Single-Core ไปที่ 599 และคะแนน Multi-Core ที่ 1,785

ฟีเจอร์และทดสอบด้านการเล่นเกม
ฟีเจอร์ Game Space ก็ยังมีมาให้ใน OPPO Reno5 Series 5G ครับ ซึ่งบอกรายละเอียดระหว่างเล่นเกมได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้ CPU, GPU และเฟรมเรทแบบเรียลไทม์

ทดสอบการเล่นเกม
ROV

สำหรับเกม ROV นั้นสามารถเปิดกราฟิกการแสดงผลได้ในระดับสูง, ภาพ HD ระดับสูงสุด และเปิดเฟรมเรทสูงได้ ซึ่งการเล่นภายในเกม 5 VS 5 ก็ทำได้ไหลลื่นและเฟรมเรทนิ่งๆ ทั้ง 2 รุ่นครับ
Genshin Impact

ส่วนเกมดังอย่าง Genshin Impact ทั้ง 2 รุ่นนี้ก็เล่นได้แบบไม่มีปัญหาอะไรครับ มีความไหลลื่นของภาพดี และภาพก็สวยในระดับที่ดีเลยทีเดียว
แบตเตอรี่อึดพร้อมชาร์จเร็วสูงสุด 65W SuperVOOC 2.0
อีหนึ่งความแตกต่างของ OPPO Reno5 Series 5G ก็คือเรื่องของแบตเตอรี่ครับ โดย OPPO Reno5 มีแบตเตอรี่ความจุ 4310mAh รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 50W Flash Charging ซึ่งชาร์จแบตเตอรี่จาก 0% – 80% ในเวลเพียง 31 นาทีเท่านั้น และเต็ม 100% ด้วยเวลาเพียง 48 นาทีครับ

ส่วน OPPO Reno5 5G นั้นมีแบตน้อยกว่าเล็กน้อยอยู่ที่ 4300mAh ซึ่งจริงๆ ก็ใช้งานทั่วไปได้ทั้งวันครับ แต่รองรับ 65W SuperVOOC 2.0 ในเวลา 15 นาทีชาร์จได้ถึง 60% และชาร์จเต็ม 100% ในอย่างรวดเร็วเพียง 35 นาทีเท่านั้น

สรุปความแตกต่างของ OPPO Reno5 และ OPPO Reno5 5G
- อย่างแรกที่มีความแตกต่างกันคือการรองรับ 5G ครับ เพื่อการใช้งานเครือข่ายที่ไม่มีสะดุดและไหลลื่นกว่าเดิม
- ฟีเจอร์ของกล้องหลังที่เน้นการใช้งานต่างกันเล็กน้อย โดย OPPO Reno5 5G จะเน้นเรื่องระนนกันสั่นไหวที่มีในเกือบทุกเลนส์ ส่วน OPPO Reno5 จะเน้นเรื่องการถ่ายวิดีโอและลูกเล่นที่เกี่ยวกับ Portrait
- เทคโนโลยีชาร์จเร็วของ OPPO Reno5 5G อยู่ที่ 65W SuperVOOC 2.0 ส่วน OPPO Reno5 อยู่ที่ 50W Flash Charging
- ใครที่เน้นเล่นเกมแบบจัดเต็มต้องการกราฟิกหนักๆ OPPO Reno5 5G น่าจะตอบโจทย์มากกว่าครับ เพราะใช้ขุมพลัง Snapdragon 765G ที่เป็นตัวท็อปๆ ของชิพรุ่นกลาง แต่ถ้าใครไม่ได้เน้นกราฟิกมากก็สามารถเลือก OPPO Reno5 ในราคาที่ถูกกว่าได้เช่นกันครับ
ราคาและโปรโมชั่นสำหรับพรีออเดอร์
OPPO Reno5 สนนราคาอยู่ที่ 10,990 บาท ขณะที่ OPPO Reno5 5G มีราคาอยู่ที่ 13,990 บาท โดยเริ่มพรีออเดอร์ตั้งแต่วันที่ 26 มกราคม – 5 กุมภาพันธ์ 2564 และจะวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นไป
ผู้ที่จอง OPPO Reno5 ระหว่างวันที่ 26 มกราคม ถึง 5 กุมภาพันธ์ 2564 รับของสมนาคุณฟรี ดังนี้
- เครื่องชั่งน้ำหนักอัจฉริยะ Smart Scale
- E-VIP Card
มูลค่ารวม 6,299 บาท
ผู้ที่จอง OPPO Reno5 5G ระหว่างวันที่ 26 มกราคม ถึง 5 กุมภาพันธ์ 2564 รับของสมนาคุณฟรี ดังนี้
- เครื่องชั่งน้ำหนักอัจฉริยะ Smart Scale
- Bluetooth Speaker
- E-VIP Card
มูลค่ารวม 8,398 บาท
Smart Review
รีวิว Wiko Power U20 สมาร์ทโฟนจอใหญ่ แบตอึด ราคาโดนใจ
รีวิว Wiko Power U20 สมาร์ทโฟนที่มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Android 11 หน้าจอใหญ่ 6.8 นิ้ว HD+ มีกล้องหลัง 3 เลนส์ AI และแบตอึด 6000mAh ใช้งานได้สนุกยาวนานทั้งวัน

สรุปสเปค Wiko Power U20
- ขนาดตัวเครื่อง : 173.8 × 78.6 × 9.45 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก : 210 กรัม
- หน้าจอแสดงผลชนิด IPS LCD กว้าง 6.8 นิ้ว ความละเอียด 720 x 1640 พิกเซล
- หน่วยประมวลผล : Mediatek Helio G35
- GPU : PowerVR GE8320
- RAM 3 GB
- ROM 32 GB รองรับ microSD card สูงสุด 256GB
- ระบบปฎิบัติการ Android 11
- กล้องถ่ายรูปด้านหลัง 3 เลนส์
- เลนส์หลัก 13 ล้านพิกเซล
- เลนส์ Bokeh 2 ล้านพิกเซล
- เลนส์ AI สำหรับระบุฉากตอนถ่ายรูป
- กล้องหน้า 5 ล้านพิกเซล
- รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ดแบบ
- การเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 b/g/n, Bluetooth 4.2 และพอร์ต micro USB2.0
- แบตเตอรี่ความจุ 6000 mAh
แกะกล่อง ดีไซน์ตัวเครื่อง และหน้าจอแสดงผล
Wiko Power U20 มาในกล่องที่ดีไซน์เรียบๆ มีชื่อรุ่นอยู่บนฝากล่อง และด้านหลังมีฟีเจอร์เด่นของรุ่นนี้ ซึ่งสีตัวเครื่องที่รีวิวในบทความนี้เป็นสีเขียวมิ้นท์ (Mint)


อุปกรณ์ที่มีให้ในกล่อง
- ตัวเครื่องสมาร์ทโฟน Wiko Power U20
- สายชาร์จ micro USB 2.0
- อะแดปเตอร์ 10W
- หูฟัง
- เคส
- ฟิล์มกันรอย
- คู่มือใช้งาน
- เข็มจิ้มถาดใส่ซิม
ด้านการดีไซน์ Wiko Power U20 มีความสวยงามและทันสมัย ฝาหลังเป็นสีมิ้นท์ที่ให้ผิวสัมผัสแบบด้านคล้ายการดีไซน์แบบการพ่นทราย ซึ่งช่วยลดการเกิดคราบรอยนิ้วมือและช่วยให้จับถนัดมือ ไม่ลื่นด้วย

ฝาหลังยังมีข้อความสโลแกน Let’s POWER-UP ซึ่งเป็นจุดเด่นของรุ่นนี้ที่มีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่นั่นเอง ซึ่งข้อความก็ช่วยให้ฝาหลังดูมีลวดลายขึ้นมา และก็ดูสวยไปอีกแบบ

เลนส์กล้องหลังมีทั้งหมด 3 เลนส์ ความละเอียด 13MP + 2MP + AI และมีแฟลช LED

พอร์ตเชื่อมต่อสำหรับถ่ายโอนข้อมูลผ่านสายเคเบิลและสำหรับชาร์จไฟเป็นพอร์ตแบบ micro USB 2.0

Wiko Power U20 มีช่องหูฟัง 3.5 มม. และยังเป็นรุ่นที่มีหูฟังแถมมาให้ในกล่องด้วย แม้ในปัจจุบันสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่หลายรุ่นจะเริ่มไม่มีหูฟังในกล่องแล้ว

ถาดใส่ซิมของรุ่นนี้เป็นแบบ 3 Slot ใส่ได้ 2 ซิมการ์ด พร้อมกับใส่ microSD card ได้

ด้านขวาตัวเครื่องจะมีปุ่มเรียกใช้งาน Google Assistant ถัดมาเป็นปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่ม Power

หน้าจอแสดงผลของรุ่นนี้มีขนาด 6.8 นิ้ว ความคมชัดระดับ HD+ โดยกระจกหน้าจอเป็นแบบโค้ง 2.5D อีกทั้งกรอบตัวเครื่องมีความโค้งมนทำให้เวลาถือใช้งานรู้สึกกระชับมือมากขึ้น แม้ตัวเครื่องจะค่อนข้างมีขนาดใหญ่

กล้องหน้ามีขนาด 5 ล้านพิกเวล และถัดขึ้นไปด้านบนเล็กน้อยจะมีช่องลำโพงสำหรับใช้ในการฟังเสียงตอนโทรศัพท์

ด้วยขนาดหน้าจอที่ใหญ่ ทำให้เวลาดูคอนเทนท์หรือดูคลิปวิดีโอต่างๆ เห็นได้เต็มตา และรอยบากสำหรับติดตั้งกล้องก็เล็กนิดเดียว ทำให้ไม่รบกวนสายตาเวลามองหน้าจอ

ซอฟต์แวร์ และฟังก์ชั่นการใช้งาน
Wiko Power U20 มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Android 11 ตั้งแต่แกะออกจากกล่อง ทำให้ใช้งานฟีเจอร์ใหม่ๆ ได้ทันที และแอปพลิเคชั่นที่ติดตั้งมาให้ตอนแรกก็มีเฉพาะที่จำเป็น ไม่มีแอปขยะติดตั้งมาให้รกเครื่อง ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องชื่นชมเลยครับ

ถ้าใครได้ใช้งาน Anddroid 11 ต้องบอกเลยว่าต้องชื่นชอบฟีเจอร์นี้กันอย่างแน่นอนคือ การบันทึกหน้าจอเป็นวิดีโอ เพราะเป็นฟีเจอร์พื้นฐานบนสมาร์ทโฟนที่มาพร้อมเวอร์ชั่นจะได้ใช้งานกัน ไม่ต้องลงแอปเพิ่มให้ยุ่งยาก แม้จะเป็นรุ่นราคาไม่แพงก็ใช้ได้

Wiko Power U20 มีปุ่มพิเศษสำหรับเรียกใช้งาน Google Assistant ได้สะดวกมากขึ้น เมื่อกดปุ่มที่อยู่ขอบทางด้านขวาตัวเครื่องก็จะสามารถใช้งานผู้ช่วยส่วนตัวนี้ได้ทันที

สำหรับฟีเจอร์แรกเมื่อเข้ามาในเมนูการตั้งค่าจะเป็นของ Wiko ไม่ว่าจะเป็นโหมดการใช้งานมือเดียว การตั้งค่าแถบการนำทาง การจัดการหน้าจอหลัก หรือปิดแถบติ่งหน้าจอด้านบน เป็นต้น

ฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย ปลดล็อคด้วยใบหน้า จาการทดสอบใช้งานถือว่าทำได้รวดเร็วดี ใช้งานได้สะดวกแค่ยกสมาร์ทโฟนขึ้นมาก็ปลดล็อกด้วยใบหน้าได้ทันที

โหมดเล่นเกมสำหรับเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของตัวประมวลผลให้การเล่นเกมทำได้เต็มที่มากขึ้น โดยการเคลียร์หน่วยความจำและปิดการทำงานแอปเบื้องหลัง ทำให้เล่นเกมได้ลื่นๆ รวมไปถึงปิดการแจ้งเตือนไม่ให้รบกวนระหว่างการเล่นเกมได้ด้วย

Wiko Power U20 มีโหมดใช้งานหรือ Simple Mode ที่จะทำให้เมนูการใช้งานต่างๆ มีขนาดใหญ่ และเน้นฟีเจอร์พื้นฐาน เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มต้นใช้งานสมาร์ทโฟน หรือช่วยให้คุณพ่อคุณแม่มองเห็นเมนูได้ชัดเจนมากขึ้น เลือกใช้งานได้ง่าย ไม่ซับซ้อน

การจัดการระบบก็มีฟีเจอร์ ผู้ช่วยอัจฉริยะ สามารถใช้จัดการระบบได้คลิกเดียว ไม่ว่าจะเป็นทำความสะอาดระบบ เคลียร์หน่วยความจำ สแกนไวรัส และปิดแอปที่ใช้งานพลังงานมากเกินไป เป็นต้น

นอกจากนี้แล้วก็ยังมีฟีเจอร์การเคาะหน้าจอ 2 ครั้งเพื่อเปิดหน้าจอ หรือการใช้ทางการสัมผัส เช่น เปิดกล้องอย่างรวดเร็วด้วยการกดปุ่ม Power ติดกัน 2 ครั้ง เป็นต้น

ด้านการเชื่อมต่อของ Wiko Power U20 รองรับการใช้งานบนเครือข่าย 4G, Wi-Fi 802.11 b/g/n และ Bluetooth 4.2

ฟีเจอร์ด้านหน้าจอแสดงผลรองรับธีมมืดด้วย สำหรับเปิดใช้งานในที่แสงน้อยหรือในที่มืด ถ้าใครชอบนอนเล่นมือถือดึกๆ จะเหมาะมากๆ เพราะจะช่วยให้สบายตามากขึ้น

Digital Wellbeing แดชบอร์ดสรุปข้อมูลการใช้งานสมาร์ทโฟนและแอปพลิเคชั่น ว่ามีการใช้งานมากขนาดไหนต่อวัน หรือแม้กระทั่งจำนวนครั้งที่ปลดล็อคสมาร์ทโฟน ฟีเจอร์นี้ก็จะทำการบันทึกไว้ด้วย

ประสิทธิภาพการทำงานและแบตเตอรี่
Wiko Power U20 ถือเป็นสมาร์ทโฟนราคาประหยัดรุ่นใหม่ที่เลือกใช้ชิปเซ็ตตัวใหม่ MediaTek Helio G35 ที่มีขนาด 12nm มาพร้อมซีพียูแบบ Octa-core นอกจากจะช่วยในเรื่องของการประมวลผลที่ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพตามระดับราคาแล้ว ยังช่วยประหยัดพลังงานได้ดีอีกด้วย เอาใจสายเกมมิ่งด้วยการทดสอบเกม ROV รุ่นนี้สามารถเปิดกราฟิกได้ระดับสูงสุดทั้งหมด รวมถึงเฟรมเรทระดับสูงด้วย

ลองเล่นในโหมด 5 VS 5 เล่นได้สบายๆ แต่บางฉากที่เข้าร่วมทีมไฟต์อาจจะมีเฟรมเรทเหวี่ยงอยู่บ้าง แต่ถ้าปิดโหมดเฟรมเรทสูงก็สามารถเช่นได้สบายๆ ไม่มีปัญหา

หน้าจอที่กว้างขึ้น ยังช่วยให้การเล่นเกมได้มุมมองที่กว้างมากขึ้น เห็นสภาพแวดล้อมหรือมีโอกาสในการเห็นศัตรูที่อยู่ริมขอบหน้าจอได้มากกว่าหน้าจอบนสมาร์ทโฟนทั่วไป ซึ่งก็เป็นจุดได้เปรียบที่ดีอย่างหนึ่งในการเล่นเกม

ทดสอบเล่นเกม Asphalt 9 : Legends เกมแข่งรถจาก Gameloft ถูกออกแบบมาเพื่อให้ประสบการณ์เกมคอนโซลที่สมจริงและภาพกราฟิกที่สวยงามมากขึ้นด้วยเทคนิค HDR พร้อมรถจากหลายค่ายดัง ก็เล่นได้ไม่มีปัญหา แต่บางฉากอาจมีการกระตุกอยู่บ้างเล็กน้อย ถ้าเทียบกับราคาของรุ่นนี้แล้วก็ถือทำได้ดีเลยทีเดียว

แบตเตอรี่ของ Wiko Power U20 มีขนาด 6000mAh ให้มาเยอะมากๆ ใช้งานทั่วไปได้ยาวๆ 2-3 วัน และมีระบบ AI ช่วยจัดการพลังงานให้ใช้งานได้ยาวมากยิ่งขึ้นไปอีก

การชาร์จไฟให้กับสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ จะรองรับกำลังไฟสูงสุด 10W แนะนำให้ชาร์จทิ้งไว้ตอนเข้านอนก็ได้ครับ ด้วยแบตเตอรี่ขนาดใหญ่จะค่อนข้างใช้เวลานานในการชาร์จเต็ม แต่ชาร์จเต็มครั้งเดียวอยู่ได้นานหลายวันเลย

กล้องถ่ายรูป
Wiko Power U20 มาพร้อมกล้องหลัง 3 เลนส์ ความละเอียดกล้องหลัก 13 ล้านพิกเซล + เลนส์ Depth หรือ Bokeh และเลนส์ AI สำหรับช่วยระบุฉากและปรับค่ากล้องให้ถ่ายฉากนั้นๆ ได้สวยโดยอัตโนมัติ

กล้องหลัก 13 ล้านพิกเซล สามารถเก็บรายละเอียดของภาพได้คมชัด และมี AI ช่วยให้การถ่ายภาพต่างๆ เป็นเรื่องง่าย






การถ่ายภาพบุคคลหรือ Portrait ที่มีเลนส์ Bokeh เข้ามาช่วย ทำให้การละลายฉากหลังทำได้เนียนเป็นธรรมชาติ ภาพบุคคลมีความโดดเด่น ถ่ายสนุกมากขึ้น



สำหรับกล้องหน้า 5 ล้านพิกเซล มีฟีเจอร์ปรับแต่งหน้าให้สวยเนียนตั้งแต่ 0-100 และมีสติกเกอร์ AR ทีทำให้การเซลฟี่สนุก ไม่จำเจ พร้อมแชร์ลงโซเชียลได้ทันที


สรุปจุดเด่น
- Wiko Power U20 ดีไซน์สวย หน้าจอใหญ่ 6.8 นิ้ว ดูคอนเทนท์ได้เต็มตา
- กล้องถ่ายรูปทำออกมาได้ดีเกินคาด เมื่อเทียบกับราคาไม่ถึง 3,000 บาท
- ชิปเซ็ต Helio G35 เล่นเกมที่มีภาพสวยๆ ได้ไม่มีปัญหา
- ระบบปฏิบัติการ Android 11 ได้ใช้งานฟีเจอร์ใหม่ๆ
- รองรับ 4G ทั้ง 2 ซิม
- แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 6000mAh ไม่ตัองกังวลเรื่องแบตหมดระหว่างวัน
จุดสังเกตเพิ่มเติม
- ถ้าต้องการชาร์จแบตให้เต็ม แนะนำให้ชาร์จทิ้งไว้ตอนนอน เพราะใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมงในการชาร์จเต็ม เนื่องจากแบตเตอรี่มีขนาดใหญ่
Wiko Power U20 วางจำหน่ายในราคา 2,999 บาท ซื้อได้ที่ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศและ Official Online Store ด้านล่างนี้
- Shopee : https://bit.ly/3c0TSEv
- Lazada : https://bit.ly/3pkefjT
- JD Central : http://bit.ly/3ce2hEL
Smart Review
รีวิว Amazfit Bip U สมาร์ทวอทช์ฟีเจอร์เพียบ จอสัมผัส, ออกกำลังกายกว่า 60 โหมด รองรับการวัด SpO2 และแบตอึดนาน 9 วัน

Amazfit Bip U สมาร์ทวอทช์สุดคุ้ม รองรับฟีเจอร์แบบครบทั้งด้านสุขภาพและการออกกำลังกาย พร้อมชูจุดเด่นในการวัดอัตราการเต้นของหัวใจ, ออกซิเจนในเลือด และออกกำลังกายถึง 60 โหมด
สเปคโดยรวมของ Amazfit Bip U
- ขนาดรอบตัวเครื่อง : 40.9 x 35.5 x 11.4 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 31 กรัม (รวมสายรัด)
- หน้าจอแสดงผล IPS LCD ขนาด 1.43 นิ้ว ความละเอียด 320 x 302 พิกเซล และสี 72% NTSC
- การเชื่อมต่อ : Bluetooth 5.0 BLE
- เซ็นเซอร์
- เซ็นเซอร์วัดความเร่ง
- เซ็นเซอร์แสง PPG สำหรับ BioTracker
- วัดอัตราการเต้นของหัวใจ
- Gyroscope
- วัดออกซิเจนในเลือด (SpO2)
- แบตเตอรี่ความจุ 230 mAh
- อุปกรณ์ที่รองรับ Android 5.0 หรือ iOS 10.0 ขึ้นไป
- มีมาตรฐานกันน้ำลึก 5ATM
Amazfit Bip U ใช้วัสดุพลาสติกโพลีคาร์บอเนต (Polycarbonate) ทำให้มีน้ำหนักเบา รู้สึกไม่หนักจนเกินไปเวลาสวมใส่ทั้งตอนกลางวันหรือตอนนอนครับ

โดยสีสันก็ยังมีความสดใสมากๆ อย่างสีเขียวที่เราได้มาทำให้ดูโดดเด่นขึ้นมาทันที ขณะที่ Amazfit Bip U ก็มีอีก 2 สี ได้แก่ สีดำและชมพูครับ

สำหรับสายรัดก็มาแบบซิลิโคนที่มีน้ำหนักเบา ไม่แข็งจนเกินไป ทำให้ใส่ได้ง่ายและสบายสุดๆ

ในส่วนของหน้าจอแสดงผลมาแบบสีด้วยชนิด IPS LCD ขนาด 1.43 นิ้ว ความละเอียด 320 x 302 พิกเซล โดยมีความโค้งเล็กน้อยด้วยกระจก 2.5D และเคลือบสารป้องกันรอยนิ้วมืออีกด้วย (Anti-fingerprint coating)

ที่ตัวเครื่องจะมีปุ่มฝั่งขวาสำหรับย้อนกลับหรือเข้าหน้าเมนู

ขณะที่ด้านหลังจะมีระบบเซ็นเซอร์ต่างๆ และแม่เหล็กสำหรับวางกับแท่นชาร์จ

ในการใช้งานเราสามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนได้ผ่านแอปพลิเคชั่น Zepp ที่มีทั้งบน App Store และ Google Play Store

เมื่อเชื่อมต่อเรียบร้อย Amazfit Bip U จะมีหน้าปัดให้เราเลือกมากกว่า 50 แบบเลยทีเดียว ใครชอบแบบไหนก็เลือกได้ตามใจชอบเลย!

ฟีเจอร์ด้านออกกำลังกาย
รองรับโหมดกีฬามากกว่า 60 ชนิด
Amazfit Bip U เน้นการออกกำลังกายด้วยการรองรับโหมดของกีฬามากกว่า 60 แบบ ไม่ว่าจะเป็นการวิ่ง, เดิน, การเต้นประเภทต่างๆ, ปั่นจักรยาน, คริกเกต และอื่นๆ เพียบ


นอกจากนี้ Amazfit Bip U ก็สามารถใช้งานว่ายน้ำได้สบายๆ จากมาตรฐานการป้องกันน้ำ 5ATM ที่ทำได้ลึกสุดถึง 50 เมตร

Amazfit Bip U ยังมีเทคโนโลยีการตรวจจับด้วยเซ็นเซอร์ BioTracker 2 PPG Biological Optical เพื่อช่วยระบุจำนวนก้าวและอัตราการเต้นของหัวใจได้แบบเรียลไทม์

ฟีเจอร์ด้านสุขภาพ
สำหรับด้านสุขภาพ Amazfit Bip U ก็ยังทำออกมาได้ดีมากๆ ตั้งแต่การวัดอัตราการเต้นของหัวใจ 24 ชั่วโมงเรียลไทม์ โดยจะมีการแจ้งเตือนเมื่อมีอัตราการเต้นที่ต่ำหรือสูงเกินไปตามที่เรากำหนดไว้ในแอป Zepp

วัดออกซิเจนในเลือด
ความพิเศษของสมาร์ทวอทช์รุ่นนี้ยังรองรับการวัดค่าออกซิเจนในเลือดได้ ซึ่งค่าปกติควรอยู่ที่ 95 ขึ้นไปครับ

การวัดความเครียด
สำหรับการวัดความเครียดจะถูกนำมาคิดตามค่าความผันแปรของอัตราการเต้นของหัวใจครับ โดยค่ายิ่งน้อยคือยิ่งผ่อนคลายครับ

ติดตามการนอนได้
Amazfit Bip U มาพร้อมกับการวัดคุณภาพการนอนแต่ละวันของเราได้ ซึ่งถือว่าทำได้แม่นยำพอสมควร โดยมีคะแนนการนอนหลับโดยรวม โดยมีการบอก 4 ค่าระหว่างการนอนเป็นชั่วโมง ได้แก่ หลับลึก, REM, หลับตื่น และตื่น

แบตเตอรี่ใช้งานได้นานสูงถึง 9 วัน
จากการทดอสอบการใช้งานไป 1 วันเต็มๆ โดยเปิดฟีเจอร์การวัตอัตราการเต้นของหัวใจไว้ตลอด 1 นาที 24 ชั่วโมง จาก 100% ลดลงมาเหลือ 92% ครับ ซึ่งถ้าเฉลี่ยแล้วอยู่ได้ 9 วันกว่าเลยด้วยซ้ำครับ

สำหรับ Amazfit Bip U วางจำหน่ายผ่านทาง Amazfit Official Store
- JD Central : http://bit.ly/3oYe7WM
- Shopee : http://bit.ly/2LACxYe
- Lazada : https://bit.ly/3ikZDxU
-
Android News2 สัปดาห์ ago
เปรียบเทียบสเปค Samsung Galaxy S21 Ultra และ iPhone 12 Pro Max
-
Android News2 สัปดาห์ ago
เปรียบเทียบสเปค Samsung Galaxy S21 Ultra และ Note20 Ultra
-
Apple News1 สัปดาห์ ago
อัปเดท iPhone 12 Series ราคาล่าสุด และโปรโมชั่น เริ่มต้น 13,900 บาท
-
Apple News5 วัน ago
ราคาล่าสุด iPhone SE, iPhone XR, iPhone 8 Plus เริ่มเพียง 2,800 บาท เดือนมกราคา 2021
-
Android News2 สัปดาห์ ago
พรีวิว Samsung Galaxy S21 Ultra 5G ลองเล่นเครื่องจริงในไทย
-
How To1 สัปดาห์ ago
วิธีเปิดใช้งาน Picture in Picture ใน iPhone และมีแอปไหนบ้างที่รองรับ!
-
Apple News2 สัปดาห์ ago
ทำไม iPhone 12 mini ถึงน่าใช้
-
IT News2 สัปดาห์ ago
Xiaomi โดนสหรัฐฯ แบน ก่อน Trump ลงจากตำแหน่ง