Connect with us

Smart Review

รีวิว OPPO Find X3 Pro 5G สมาร์ทโฟน Flagship ที่สุดแห่งพันล้านสีพร้อมสเปคเร็วแรงขั้นสุด

Published

on

OPPO Find X3 Pro 5G เปิดตัวทางการเรียบร้อย มาพร้อมจุดเด่นในเรื่องสีสันเพราะรุ่นนี้คือสมาร์ทโฟน Flagship พันล้านสีรุ่นแรกของโลก มีทั้งหน้าจอและกล้องหลักระดับ 10-bit เปิดโลกแห่งสีสันได้มากกว่าที่เคย นอกจากนี้ยังได้หน่วยประมวลผล Snapdragon 888 5G ระบบชาร์จไว 65W SuperVOOC 2.0 อีก เรียกว่าเป็นเรือธงที่น่าจับตามองที่สุดในตอนนี้เลยก็ว่าได้

และแน่นอนเปิดตัวแล้วแบบนี้ทีมงาน iphone-droid.net ก็ไม่พลาดที่จะทำรีวิวฉบับเต็มของ OPPO Find X3 Pro 5G มาฝากกันด้วย จะน่าสนใจแค่ไหน มาติดตามกันเลยครับ

สรุปสเปค OPPO Find X3 Pro 5G

  • หน้าจอ : AMOLED ขนาด 6.7” ความละเอียด QHD+ , refresh rate 120Hz, รองรับ HDR10+, ความสว่างสูงสุด 1300 nits
  • CPU : Snapdragon 888 Octa-core 2.84GHz (5nm)
  • GPU : Adreno 660
  • RAM : 12GB LPDDR5
  • ROM : 256GB UFS 3.1
  • แบตเตอรี่ : 4500mAh
  • ระบบชาร์จ : 65W SuperVOOC 2.0 (แบบสาย) 30W AirVOOC Wireless Flash Charge (ไร้สาย)
  • กล้องหลัง : 4 ตัว
    • 50MP กล้องหลัก เซ็นเซอร์ Sony IMX766 f/1.8 OIS
    • 50MP กล้อง Ultra Wide เซ็นเซอร์ Sony IMX766 f/2.2 มุมกว้าง 110 องศา
    • 3MP กล้อง Micro Lens f/3.0แบบกล้องจุลทรรศน์
    • 13MP กล้อง Tele 2x f/2.4 รองรับ Hybrid Zoom 5x และ Digital Zoom 20x
  • กล้องหน้า : 32MP f/2.2
  • รองรับการเชื่อมต่อ : Wi-Fi 802.11a/b/g/n/ac/6, Bluetooth 5.2, NFC และพอร์ต USB Type-C
  • ระบบปฏิบัติการ : Android 11 (Color OS 11.2)

ดีไซน์แห่งอนาคต

เริ่มต้นกันที่เรื่องดีไซน์กันเลยดีกว่า OPPO Find X3 Pro 5G มาพร้อมดีไซน์แบบอนาคตล้ำสมัย ได้แรงบันดาลใจจากอวกาศ ใช้ฝาหลังกระจกเพียงชิ้นเดียวขึ้นรูปให้มีความโค้งได้อย่างน่าเหลือเชื่อ สัมผัสแรกต้องบอกเลยว่าเนียนมือมาก ๆ เพราะไม่ใช่แค่โค้งตามมุมธรรดา มีการไล่ระดับจากตัวฝาหลังขึ้นมาจนถึงโมดูลกล้องได้อย่างไร้รอยต่อ

แต่ความโค้งที่ว่านี้เอาจริง ๆ ก็ไม่ได้โค้งจนตั้งชันขึ้นมาจนรู้สึกถึงความหนามาก แม้ในภาพเราจะเห็นว่ามันมีระดับพอสมควร แต่ถ้าได้เห็นตัวจริงและลองสัมผัสจะรู้สึกว่ามันกำลังดี โค้งสวยมาก ๆ ด้วย ตรงนี้ OPPO บอกว่าใช้ Control points กว่า 2,000 จุดที่ทำเพื่อให้สามารถควบคุมเส้นโค้งในกระจก ได้อย่างแม่นยา ใช้เวลาในการผลิตนานถึง 40 ชม. เลย

OPPO Find X3 Pro 5G สีที่เราได้มารีวิวคือสี Gloss Black จะเป็นผิวแบบมันวาว ใช้เทคนิคการเคลือบผิวแบบพิเศษทำให้ฝาหลังมีความสะท้อนคล้ายเซรามิก ดูเลอค่ามาก ความสะท้อนนี้เรียกว่าใช้เป็นกระจกส่องหน้าได้เลยล่ะ แต่ข้อเสียของกระจกแบบนี้ก็มีอยู่บ้างคือเป็นรอยนิ้วมือได้ง่ายมาก แต่โชคดีที่รุ่นนี้ยังพอเช็ดทำความสะอาดได้ง่ายอยู่

ตัวเครื่องบางเฉียบ น้ำหนักก็ดีมาก

นอกจากความสวยงามของฝากหลังแล้วอีกสิ่งที่เราชอบมาก ๆ ของ OPPO Find X3 Pro 5G ก็คือความบางและเบาของตัวเครื่องนี่แหละ ตามสเปคแล้วรุ่นนี้บางเพียง 8.26 มม. และเบาแค่ 193 กรัมเท่านั้น จับแล้วรู้สึกได้เลยว่าเป็นเครื่องที่เหมาะมือมาก ๆ ถือว่าเป็นเรือธงที่ทำขนาดได้ดีจริง ๆ แม้ตัวเครื่องจะให้สเปคมาแบบจัดเต็มขนาดนี้ครับ

งานประกอบของตัวเครื่องก็ถือว่าทำได้แน่นหนาดีจริง ๆ กรอบตัวเครื่องเป็นโลหะที่มีความมันวาวและโค้งนิด ๆ ให้ความรู้สึกที่ดีเวลาจับถือ ไม่บาดมือจนเกินไป และช่วยให้การจับถือนาน ๆ ด้วยครับ ตำแหน่งปุ่มกดของ OPPO Find X3 Pro 5G ยังคงทำได้ดีปุ่มเพิ่ม-ลดเสียงจะอยู่ที่ฝั่งซ้ายมือ ส่วนปุ่ม Power จะอยู่ที่ฝั่งขวาพร้อมแถบสีเขียวอันเป็นเอกลักษณ์ของ OPPO

หน้าจอระดับ 1 พันล้านสี คมชัดไปซะหมด

พลิกกลับมาดูที่หน้าจอกันบ้าง OPPO Find X3 Pro 5G มาพร้อมจอ AMOLED ขนาด 6.7″ ความละเอียด QHD+ ใช้ดีไซน์แบบ Punch Hole Display ที่เราเคยเจอมา แต่ถ้ามองไปที่หน้าจอดี ๆ เราจะพบความต่างแบบชัดเจนก็คือความคมชัดและสีสันที่ได้เพราะรุ่นนี้มาพร้อมหน้าจอแบบ 10-bit แสดงผลสีสันได้มากถึง 1 พันล้านสี ! ใช่แล้วครับอ่านไม่ผิด 1 พันล้านสีเลย

ซึ่งถ้าเทียบกับสมาร์ทโฟนทั่วไปบนท้องตลาดที่ใช้จอ 8-bit แสดงผลได้ 16.7 ล้านสี ก็มากกว่าถึง 64 เท่า รองรับขอบเขตสีได้กว้าง (100 เปอร์เซ็นต์ DCI-P3) อีก พอได้ชมภาพที่สีสันจัด ๆ แล้วเห็นได้ชัดถึงความสด ความคมที่มากกว่าในจอทั่ว ๆ ไปจริง ๆ ครับ เรียกว่ามิติใหม่ของหน้าจอเลยก็ว่าได้ครับ จอสวยจริง ๆ

จอของ OPPO Find X3 Pro 5G มีค่าคอนทราสสูงถึง 5,000,000 : 1 ทำให้สีดำเป็นดำจริง ๆ มิติของภาพดูสมจริง ส่วนเรื่องความสว่างก็ทำได้มากสูงสุดถึง 1300 nits สว่างได้มากสุด ๆ ใช้งานกลางแจ้งก็ยังเห็นสีสันได้อย่างชัดเจนเลยล่ะครับ

นอกจากนี้ตัวหน้าจอของ OPPO Find X3 Pro 5G ยังใช้เทคโนโลยี LTPO ที่ช่วยประหยัดพลังงานได้ดีกว่าเดิม และรองรับ Adaptive refresh rate ที่สามารถปรับขึ้น-ลงได้ตามการใช้งานตั้งแต่ 5Hz – 120Hz อีกด้วย ทำให้เราใช้งานได้อย่างลื่นไหลสมูททุกการใช้งานจริง ๆ จะไถฟีดโซเชี่ยลหรืออ่านเว็บไซต์การตอบโจทย์ไปหมด

สีสันสำหรับคุณด้วย Colour Vision Enhancement

นอกจากจะใส่ใจผู้ใช้ทั่วไปแล้ว OPPO ก็ยังใส่ใจผู้ใช้ที่มีความบกพร่องทางด้านการมองเห็นสีด้วยการเพิ่มฟีเจอร์เจ๋ง ๆ อย่าง Colour Vision Enhancement ที่ให้เราได้ทำการประเมินการมองเห็นของสีแบบเฉพาะเจาะจงของผู้ใช้งานได้ โดยระบบจำคำนวณตามแบบทดสอบและประมวลผลเพื่อแสดงผลสีสันให้แก่ผู้ใช้ได้เหมาะสมที่สุด อาทิ บนสมาร์ทโฟนปกติผู้ที่บกพร่องทางการมองเห็นสีอาจมองเห็นภาพ สีแดงในภาพแบบเข้ม ๆ ไม่ชัดเจน แต่หลังจากทำการทดสอบสีใน Colour Vision Enhancement ก็ช่วยเพิ่มให้สีสันที่มองเห็นเพิ่มขึ้นมาได้นั่นเองครับ

ลำโพง Stereo คู่พร้อมระบบเสียง Dolby Atmos

ใช่ว่าเรื่องภาพจะเจ๋งอย่างเดียว OPPO Find X3 Pro 5G นั้นยังมาพร้อมกับระบบเสียงสุดเทพอย่าง Dolby Atmos ที่ใช้งานคู่กับการฟังเพลง ดูหนัง หรือเล่นเกมผ่านหูฟังได้ด้วย รวมถึงลำโพงของตัวเครื่องก็เป็นแบบ Stereo คู่ ทำให้ได้ประสบการณ์เสียงที่ยอดเยี่ยม ให้เสียงเบสที่หนักแน่น เสียงแหลมที่ชัดเจน และรายละเอียดมากมาย

ระบบรักษาความปลอดภัยครบ

ในเรื่องระบบรักษาความปลอดภัย OPPO Find X3 Pro 5G ให้มาครบครับ ทั้งระบบสแกนลายนิ้วมือและระบบสแกนใบหน้า ทำงานได้รวดเร็วทั้งคู่ สแกนลายนิ้วมือนี่เรียกว่าแตะปุ๊บติดปั๊บ แต่เราคิดว่าเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือของรุ่นนี้แอบวางตำแหน่งไว้ต่ำไปหน่อยถ้าใช้งานมือเดียวก็อาจต้องใช้นิ้วก้อยรองเครื่องก่อนสแกน แต่ถ้าใช้งาน 2 มือก็ไม่มีปัญหาอะไรครับ ส่วนระบบสแกนใบหน้าก็ทำงานได้รวดเร็วไม่แพ้กัน แต่ก็แอบแปลกใจในเรื่องความปลอดภัยเพราะถึงแม้เราจะสวมหน้ากากอนามัยอยู่ระบบก็สแกนเข้าได้ด้วย

กันน้ำกันฝุ่นด้วยรุ่นนี้

เช่นเดียวกับ OPPO Find X2 Pro 5G เมื่อปีที่แล้ว OPPO Find X3 Pro 5G มาพร้อมคุณสมบัติกันน้ำกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP68 ซึ่งสามารถกันหยดน้ำ น้ำ และฝุ่นได้ รับมือกับการจมอยู่ใต้น้าจืดได้ถึง 1.5 เมตร เป็นเวลาครึ่งชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นการทำน้ำหกใส่หรือคุณจะโดนน้ำฝนโดยไม่ได้ตั้งใจ เราก็ยังมั่นใจว่ายังสามารถใช้งานได้อย่างไม่ต้องกังวลครับ

กล้องหลัก 1 พันล้านสีถึง 2 ตัว

เข้าสู่อีกหนึ่งไฮไลท์ของ OPPO Find X3 Pro 5G นอกเหนือจากหน้าจอที่เป็น 1 พันล้านสีแล้ว กล้องของตัวเครื่องก็ยังสามารถถ่ายภาพได้แบบ 10-bit หรือ 1 พันล้านสีเช่นกัน และไม่ใช่แค่กล้องหลักตัวเดียวเพราะ OPPO Find X3 Pro 5G นั้นมีกล้องหลักถึง 2 ตัวคือเลนส์ Wide และ Ultra Wide ที่สามารถถ่ายได้ในระดับ 10-bit ซึ่งกล้อง 2 ตัวนี้จะเป็นกล้องที่เราใช้กันบ่อยมากในชีวิตประจำวัน OPPO จึงเลือกให้กล้อง 2 ระยะนี้เป็นกล้องหลักเลย และระบบของ OPPO จะช่วยจัดการสีในกล้องด้วยเทคโนโลยี 10-bit Full-path Colour Management System ทำให้ผลลัพธ์จากกล้องนั้นนำมาสู่จอภาพได้อย่างสมบูรณ์แบบไม่เสียรายละเอียดไปเลยครับ

เปิดโหมดกล้อง 10-bit โลกแห่งพันล้านสี

ก็แอบแปลกใจนิดหน่อยที่ OPPO ไม่ได้ตั้งค่าการถ่ายภาพแบบ 10-bit มาเป็นค่าเริ่มต้น เพราะจุดเด่นหลักของรุ่นนี้ก็คือกล้องที่ถ่ายได้ 10-bit นี่นา ซึ่งในแอปกล้องจะมีตัวเลือกให้เราเปิดโหมดได้เพียงเลือก 10-bit อยู่ครับ ซึ่งไฟล์ภาพแบบนี้จะถูกบันทึกเป็นไฟล์ HEIF เท่านั้น ไม่สามารถถ่ายเป็น .jpg ปกติได้ และยังมีคำกำกับว่ารองรับกับอุปกรณ์ที่รองรับ 10-bit เท่านั้นด้วย พอถึงตรงนี้แล้วก็เข้าใจทันทีว่าทำไมถึงไม่เปิดเป็นค่าเริ่มต้น เพราะหากเราถ่ายแบบ 10-bit ตลอดบางแอปที่ไม่รองรับก็จะใช้ไฟล์รูปนั้น ๆ ไม่ได้ หรือส่งให้เครื่องก็อาจแสดงผลได้ไม่เต็มเท่ากับบน OPPO Find X3 Pro 5G เช่นกันนั่นเอง

กล้องหลัง 4 ตัว ครบทุกช่วงเลยจริง ๆ

ก่อนจะไปดูความสามารถของกล้อง 1 พันล้านสีจาก OPPO Find X3 Pro 5G เราขอแวะมาทำความรู้จักกล้องทั้ง 4 ตัวที่ให้มาก่อนละกันว่ามีอะไรบ้าง

  • 50MP กล้องหลัก เซ็นเซอร์ Sony IMX766 f/1.8 OIS รองรับ 10-bit
  • 50MP กล้อง Ultra wide angle เซ็นเซอร์ Sony IMX766 f/2.2 มุมกว้าง 110 องศา รองรับ 10-bit
  • 3MP กล้อง Micro Lens f/3.0 กำลังขยายสูงสุด 60x แบบกล้องจุลทรรศน์
  • 13MP กล้อง Tele 2x f/2.4 รองรับ Hybrid Zoom 5x และ Digital Zoom 20x รองรับ 10-bit

อย่างที่เห็นเลยครับ กล้องหลักของ OPPO Find X3 Pro 5G มีความละเอียด 50MP และไม่ได้มีแค่ 1 มีถึง 2 คือเลนส์ Wide + Ultra wide angle อย่างที่บอกไป ทั้งคู่ใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX766 ที่ OPPO และ Sony พัฒนาร่วมกัน เพราะฉะนั้นหายห่วงเรื่องคุณภาพได้เลยครับ ตัวกล้องหลักมีค่ารูรับแสงกว้าง f/1.8 ทำงานร่วมกับ OIS ช่วยให้เราได้ภาพที่สวยงามและคมชัดลดอาการสั่นไหวได้อย่างดี

ตัวกล้อง Ultra wide angle นั้นก็มีสเปคที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน มีขนาดเซ็นเซอร์ที่ใหญ่ ให้มุมกว้าง 110 องศา และยังใช้งานเป็นเลนส์ macro ได้อีกด้วย เรียกว่าถ้าดูจากสเปคแล้วกล้อง Ultra wide angle ของ OPPO Find X3 Pro 5G ถือว่าเป็นเลนส์ Ultra wide angle ที่ดีที่สุดตอนนี้เลยก็ว่าได้ครับ

ในเรื่องการโฟกัส OPPO Find X3 Pro 5G ทำได้รวดเร็วมาก ๆ เพราะใช้พิกเซลโฟกัส 100 เปอร์เซ็นต์ที่ครอบคลุมกล้องทั้งแบบ Wide-angle และ Ultra-wide-angle และยังสามารถโฟกัสได้ 360 องศารอบทิศทาง ทำให้อัตราการโฟกัสในที่แสงน้อย เพิ่มขึ้นจากเพียง 3 เปอร์เซ็นต์ เป็น 97 เปอร์เซ็นต์ เรียกว่าจะสภาพแสงแบบไหนก็ยังโฟกัสได้เร็วและแม่นยำทั้งหมดครับ

OPPO Find X3 Pro 5G มีฟีเจอร์ Digital Overlap High Dynamic Range (DOL HDR) สร้างเฟรมอย่างต่อเนื่องในรูปแบบ line-by-line ซึ่งจะช่วยลดช่วงเวลา ของเฟรมเปิดรับแสงที่ยาวและสั้น ทำให้สามารถช่วยลดภาพซ้อน หรือแสงริ้วที่อาจเกิดขึ้นได้ ทั้งยังลด Noise ของภาพ ดีขึ้นและยังให้ช่วงไดนามิกที่กว้างขึ้น นอกจากนี้ยังรองรับ การจับภาพ HDR ด้วยอัตราเฟรมเรตสูงได้อีกด้วย

สีสันของภาพนั้นสวยงามเป็นธรรมชาติดีมาก ตัวเลนส์ Wide และ Ultra wide angle คุณภาพใกล้เคียงกันสุด ๆ ตัวกล้องหลัก (Wide) มีขนาดเซ็นเซอร์ที่ใหญ่และรูรับแสงกว้าง ช่วยให้เราเก็บภาพได้มีมิติมากการละลายฉากหลังแบบจริง ๆ ด้วยฮาร์ดแวร์ก็สวยเป็นธรรมชาติ ส่วนกล้อง Ultra wide angle ก็คุณภาพยอดเยี่ยมกว้างกำลังดีและไม่มีความบิดเบี้ยวของภาพให้เห็นเลยแถมที่ถูกใจคือมันสามารถใช้งานเป็นกล้อง macro ได้ด้วย

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้อง WIde และ Ultra wide angle ของ OPPO Find X3 Pro 5G

Wide -angle vs Ultra-wide-angle

Micro Lens กล้องจุลทรรศน์ครั้งแรกบนสมาร์ทโฟน

มาถึงกล้องที่เป็นไฮไลท์สร้างความฮือฮาให้กับวงการอย่างมากกับกล้อง Micro Lens ที่ให้เราสามารถถ่ายวัตถุระยะใกล้สูงสุดถึง 60 เท่าจากสายตา อธิบายเพิ่มอีกนิดว่ากล้องตัวนี้จะแตกต่างจากกล้อง macro ทั่วไปเพราะกล้องตัวนี้เราจะเข้าใกล้ได้มากกว่านั้นสามารถเอากล้องไปติดกับวัตถุได้เลย เอาง่าย ๆ มันคือกล้องจุลทรรศน์แบบพกพายังไงยังงั้น ถือเป็นครั้งแรกของสมาร์ทโฟนเลยก็ว่าได้ที่มีกล้องแบบนี้ติดมา

โดยกล้องตัวนี้เมื่อเปิดใช้งานจะมี Ring Flash เปิดขึ้นมาด้วย เพื่อให้เราถ่ายภาพระยะใกล้ได้อย่างชัดเจน เราสามารถถ่ายได้แม้แสงน้อย ถึงแม้ความละเอียดของกล้องจะมีเพียง 3MP แต่คุณภาพที่ได้ออกมาคมชัดมาก ๆ เลยล่ะครับ

เท่าที่ลองใช้งานมาจริง ๆ กล้อง Micro Lens นี้ก็ช่วยเปิดโลกที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน ใครจะไปรู้ว่ามดตัวเล็ก ๆ หน้าตาประมาณไหน หรือจะเสื้อผ้าที่เราใส่มันมีเนื้อผ้าแบบไหน เมื่อได้ลองใช้กล้อง Micro Lens นี้เราจะได้เห็นทุกอย่างที่ว่ามาครับ เป็นมิติใหม่ของกล้องมือถือจริง ๆ พอเริ่มถ่ายแล้วก็ติดใจเลยจริง ๆ

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้อง Micro Lens ของ OPPO Find X3 Pro 5G

กล้องซูมที่ลดลง…

เมื่อปีที่แล้ว OPPO Find X2 Pro 5G นั้นเน้นเรื่องพลังกล้องซูมมาอย่างมากด้วยเลนส์ Periscope ซูมได้สูงสุดถึง 60x แต่มาในปีนี้ OPPO Find X3 Pro 5G ถูกลดทอนความสามารถเรื่องซูมลงไปใช้กล้อง Tele 2x ปกติความละเอียด 13MP เท่านั้น แต่ด้วยซอฟต์แวร์ที่ให้มาก็ยังสามารถใช้งาน Hybrid Zoom แบบไม่เสียรายละเอียดได้ที่ 5x และ Digital Zoom สูงสุด 20x อยู่ครับ

ส่วนในเรื่องการซูม แม้พลังซูมของ OPPO Find X3 Pro 5G จะไม่ดุดันเท่ากับรุ่นก่อน แต่ในระยะ 2x – 5x ก็ให้คุณภาพที่ยอดเยี่ยมเพียงพอต่อการใช้งานแล้ว เหมาะกับช่วงซูมที่ไม่มากนัก ใช้ในชีวิตประจำวันไม่ได้ซูมไกลแบบสุดลูกหูลูกตา ก็ถือว่ารับได้อยู่ครับ

ตัวอย่างภาพจากกล้องซูมของ OPPO Find X3 Pro 5G

Portrait ยังเด่นเหมือนเดิม

แต่ก็ใช่ว่าการตัดเอาเลนส์ Periscope ออกไปจะแย่นัก เพราะการมีกล้องซูมแบบ 2x เข้ามาก็ช่วยให้เราใช้งานโหมด Portrait ได้ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น เพราะเราสามารถถ่ายภาพคนได้ใน 2 ระยะ 1x กับ 2x จากกล้องจริง ๆ ไม่ใช่การ Digital Zoom อีกต่อไป หมายความว่าอะไร หมายความว่าปกติสมาร์ทโฟนที่มีกล้องซูมเกิน 3x ขึ้นไป เวลาเราใช้ระยะ 2x ในโหมด Portrait ตัวกล้องจะใช้ความสามารถของกล้องหลักในการซูม Digital เข้าไป ทำให้ความคมชัดอาจลดทอนลงไป แต่การที่มีกล้องซูม 2x เข้ามาจริง ๆ เวลาเราเลือกระยะ 2x ก็จะได้คุณภาพเน้น ๆ จากกล้อง 13MP นั่นเอง และระยะ 2x ก็เหมาะกับการถ่ายภาพ Portrait มาก ๆ ด้วยล่ะ

นอกจากนี้ในโหมด Portrait ของ OPPO Find X3 Pro 5G ยังมีฟิลเตอร์และระดับความเบลอให้เลือกปรับ ในตัวเราสามารถเลือกโทนสวย ๆ แล้วถ่ายได้เลย ภาพที่ออกมาก็จะสวยเหมือนตกแต่งมาแล้ว เรียกว่าจบในแอปกล้องเองเลยไม่ต้องไปตกแต่งเพิ่มผ่านแอปข้างนอกแล้วไงล่ะครับ

โหมด Portrait ของ OPPO Find X3 Pro 5G ยังคงเอกลักษณ์ของ OPPO ได้เป็นอย่างดี ความเนียนของใบหน้าทำได้แบบเป็นธรรมชาติ การตัดขอบละลายฉากหลังทำได้ดีเลย การมีกล้อง 2 ระยะจริง ๆ ก็ช่วยให้ได้ภาพทั้งกว้างและเจาะได้อย่างลงตัว รวมถึงฟิลเตอร์ที่มีให้เลือกใช้ตามสถานที่ได้เป็นอย่างดี อย่างในภาพตัวอย่างเราเลือกฟิลเตอร์ Paris ที่ให้ฟิลเหมือนอยู่เมืองนอก พอถ่ายกับสถานที่ที่เข้ากันแบบนี้ก็เรียกว่า “Perfect” เลยล่ะครับ จบหลังกล้องได้อย่างง่ายดาย ถ่ายเสร็จก็อัพลงโซเชี่ยลได้ทันที

ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Portrait ของ OPPO Find X3 Pro 5G

Ultra Night Mode เก็บภาพกลางคืนสวย

อีกโหมดที่ OPPO เก่งมาตลอดก็คือ Ultra Night Mode หรือโหมดกลางคืน รอบนี้ทำได้ยอดเยี่ยมมากขึ้นด้วยกล้อง Wide-angle และ Ultra-wide-angle ที่สุดยอดมาก ๆ ด้วยขนาดเซ็นเซอร์ที่ใหญ่บวกกับการรวมภาพจากซอฟต์แวร์ที่มีคุณภาพทำให้ภาพกลางคืนที่สวยคมชัดขึ้นไปอีก

แถมการทำงานของโหมดกลางคืนของ OPPO Find X3 Pro 5G ก็ยังทำได้อย่างรวดเร็ว กดถ่ายไม่กี่วินาทีก็ประมวลผลภาพออกมาได้สวยเด่น ทั้ง Dynamic Range ที่ยอดเยี่ยม บวกกับสีสันที่สวยสด ไม่ผิดหวังจริง ๆ ครับ

ตัวอย่างภาพถ่ายกลางคืนของ OPPO Find X3 Pro 5G

ถ่าย RAW+ ได้ อีกขั้นของไฟล์ RAW

อีกฟีเจอร์ของคนชอบถ่าย Manual ก็คือไฟล์ RAW+ แบบใหม่ของ OPPO Find X3 Pro 5G เราสามารถถ่ายไฟล์ RAW ที่เหนือขึ้นไปอีก โดยในโหมดนี้จะมีการเก็บค่า HDR ในรูปแบบ RAW ไปด้วย ทำให้เราสามารถให้รายละเอียดภาพที่มากยิ่งข้ึนและขยายขอบเขตในการปรับแต่งท่ีมากกว่ามาตรฐานของไฟล์ RAW ด้วยครับ

AI Palettes เปลี่ยนรูปภาพให้เป็นฟิลเตอร์ได้ง่าย ๆ

พูดถึงเรื่องการตกแต่งภาพกันบ้าง OPPO Find X3 Pro 5G มีฟีเจอร์ที่เรียกว่า AI Palettes ให้คุณนำภาพมาประมวลผลเป็นฟิลเตอร์ได้ง่าย ๆ ยกตัวอย่างเช่น เราเห็นภาพถ่ายโทนที่สีสันสวยมาก อยากจะปรับตามแต่ก็ไม่รู้จะแต่งยังไง เพียงแค่เราใช้ฟีเจอร์ AI Palettes และเลือกภาพนั้นมาอ้างอิง ระบบจะทำการดึงโทนสีของภาพนั้นมาปรับแต่งให้ภาพของเราได้อย่างเนียนเลย ทีนี้เราก็ไม่ต้องซื้อพวกโทนภาพตามเพจแล้วครับ ชอบโทนไหนก็ใช้ AI Palettes เอาได้เลย เจ๋งมาก ๆ

Cinematic mode โหมดวิดีโอระดับโปร

มาเข้าเรื่องวิดีโอกันบ้าง OPPO Find X3 Pro 5G มี Cinematic mode ให้เราถ่ายวิดีโอได้อย่างโปรมากขั้น สามารถปรับตั้งค่าของกล้องได้เอง จะปรับ Shutter speed, ISO, White Balance หรือระยะโฟกัสก็ทำได้หมด หรือจะเป็นช่วงสีแบบ BT.2020, HDR, LOG ก็ทำได้ด้วย เผื่อใครอยากถ่ายแล้วเกรดสีเพิ่มเติม รุ่นนี้ทำได้หมดเรียกว่าเหมาะกับมือโปรมาก ๆ เลยทีเดียวครับ

AI Highlight Video คำนวณให้ถ่ายอย่างเดียว

อีกโหมดที่ชาญฉลาดมาก ๆ ของ OPPO Find X3 Pro 5G ก็คือ AI Highlight Video โหมดนี้จะปรับโหมดให้เองไม่ต้องคิดว่าสถานการณ์แบบนี้ควรใช้โหมดวิดีโอแบบไหน เพราะสามารถเปิด HDR, โหมดกลางคืน, ซูมเสียง และ Ultra Steady ได้โดยอัตโนมัติ อีกทั้งยังสามารถตรวจจับฉากต่าง ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นหาดทราย ท้องฟ้า แมว ข้อความ ทิวทัศน์ กลางคืน หิมะ สปอตไลท์ พระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก ใบหน้าหนึ่งคนหรือหลายคน แสงไฟ ดอกไม้ สีเขียว นก และอาคาร มาช่วยปรับความเหมาะสมด้วย แค่เราเปิดโหมดนี้และกดถ่าย รับรองได้ว่าวิดีโอที่ได้จะถูกใจอย่างแน่นอนครับ

Dual-view Video ก็มีนะ ถ่ายกล้องหน้า-หลังได้พร้อมกัน

อีกลูกเล่นที่เคยสร้างความเจ๋งบน OPPO Reno5 Series อย่าง Dual-view Video ก็ถูกใส่มาบน OPPO Find X3 Pro 5G ด้วย เราสามารถถ่ายวิดีโอจากกล้องหน้า-หลังได้พร้อมกัน จะเก็บบรรยากาศกับหน้าเรา หรือถ่ายแบบคู่รักหน้า-หลังก็ทำได้ เป็นฟีเจอร์ที่ดีจริง ๆ ครับ

ถ่ายวิดีโอสูงสุด 4K 60fps

ในส่วนของโหมดวิดีโอปกติ เราสามารถถ่ายได้สูงสุดที่ความละเอียด 4K 60fps ในทุกเลนส์ และคุณภาพก็ยอดเยี่ยมด้วย เพราะกล้องตัวหลักได้มา 2 ตัว ในค่าเริ่มต้นตัวกล้องจะใช้กล้อง Ultra-wide-angle มาเลย ได้ทั้งมุมกว้างและคุณภาพยอดเยี่ยมแบบนี้สมแล้วที่เป็นระดับเรือธงครับ

กล้องหน้า 32MP เซลฟี่สวยถูกใจ

มาดูที่กล้องหน้ากันบ้าง OPPO Find X3 Pro 5G ได้กล้องหน้าความละเอียด 32MP มาเลย มี AI Beauty เพิ่มความสวยเนียนของใบหน้า รวมถึงโหมด Portrait หน้าชัด-หลังเบลอจากกล้องหน้าได้ด้วย

ตัวอย่างจากกล้องหน้าของ OPPO Find X3 Pro 5G

ขุมพลัง Snapdragon 888 5G ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน

มาดูเรื่องการใช้งานกันบ้าง OPPO Find X3 Pro 5G มาพร้อมหน่วยประมวลผล Snapdragon 888 5G ตัวท็อปสุดตอนนี้ มาพร้อมความจุ 12GB RAM + 256GB ROM ไม่ต้องห่วงเรื่องประสิทธิภาพเลยครับ เร็วแรงตอบโจทย์แน่นอน เราทดสอบผ่านแอป AnTuTu Benchmark และ GeekBench 5 ก็ได้คะแนนสูงเป็นอันดับต้น ๆ เลย

โดย AnTuTu Benchmark ได้คะแนนไปกว่า 645511 คะแนน

ส่วน Geekbench 5 ได้คะแนน Single-core ไป 925 คะแนนและ Multi-core 3373 คะแนนครับ

เล่นเกมลื่นทุกเกม

ในเรื่องการเล่นเกม เห็นสเปคระดับนี้ก็คงไม่ต้องห่วงอะไรแล้วแหละครับ OPPO Find X3 Pro 5G มี Game Space ที่ช่วยจัดการระบบให้เหมาะกับการเล่นเกมอยู่ตลอดเวลา เลือกได้ 3 โหมดระหว่าง Low Power, Balanced หรือ Competition Modes ตอบสนองทุกการเล่นเกมของคุณ

เล่น Genshin Impact บน OPPO Find X3 Pro 5G

เราทดลองเล่นเกม Genshin Impact บน OPPO Find X3 Pro 5G แน่นอนว่าสเปคระดับนี้เราสามารถปรับระดับกราฟิกรวมถึงเฟรมเรตได้สูงสุด เลือกไปที่ Highest พร้อม 60fps ได้เลย ตัวเกมทำได้ดีมาก เล่นได้อย่างลื่นไหล พร้อมกราฟิกสุดอลังการ ในเรื่องความร้อนมีอยู่บ้างด้วยเกมที่ใช้สเปคสูง แต่โดยรวมแล้วเล่นได้อย่างเพลิดเพลินไม่เจอปัญหาอะไรครับ

เล่น Asphalt 9 บน OPPO Find X3 Pro 5G

ส่วนเกมแข่งรถอย่าง Asphalt 9 ก็สามารถปรับกราฟิกได้สูงสุดเช่นกัน รวมถึงเปิด 60fps ได้ด้วย ยิ่งทำให้ตัวเกมนั้นลื่นไหลเข้าไปใหญ่ ตัวหน้าจอที่ใหญ่และสีสันสวยขนาดนี้ทำให้เราอินในกราฟิกที่สวยงามของตัวเกมเป็นอย่างดีเลยล่ะครับ

เล่น Call of Duty บน OPPO Find X3 Pro 5G

ปิดท้ายที่เกมยิงสุดฮิตอย่าง Call of Duty เช่นเคยเราสามารถปรับกราฟิกและเฟรมเรตไปได้สูงสุด (Very High + Max) ทำให้เล่นได้อย่างเต็มประสิทธิภาพที่สุด ตัวหน้าจอตอบสนองการเล่นได้เป็นอย่างดี จะเลื่อน เล็ง หรือยิงก็ทันนิ้ว ไม่มีอาการดีเลย์ให้กวนใจ เฟรมเรตในเกมก็นิ่งสุด ๆ เล่นได้อย่างต่อเนื่อง แถมลำโพงก็ได้มาแบบ Stereo คู่ได้ยินเสียงแบบรอบทิศทาง เล่นแล้วฟินมาก ๆ ครับ

ColorOS 11.2 ซอฟต์แวร์เวอร์ชั่นล่าสุด

OPPO Find X3 Pro 5G มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Android 11 ที่ครอบทับด้วย ColorOS 11.2 ถือว่าเป็นเวอร์ชั่นล่าสุดของ OPPO แล้วครับ มาพร้อมหน้าตา UI ที่สวยงามและการใช้งานที่ลื่นไหล มีรูปแบบการปรับแต่งหลากหลายทั้งไอคอน Wallpaper

หรือจะเป็น Dark mode/AOD ก็มีให้เลือกใช้งาน ปรับแต่งได้หลากหลาย ตรงตามความต้องการของเราจะเลือกโทนสีของตัวเครื่องเป็นโทนสีเข้มหรือปรับโทนสีรวม ๆ ของตัวเครื่องก็ได้ ในหน้า AOD ก็เลือกปรับรูปแบบได้มากขึ้นจริง ๆ บน ColorOS 11.2 นี้ครับ

แบตเตอรี่ 4500mAh

มาปิดท้ายกันที่เรื่องของแบตเตอรี่ OPPO Find X3 Pro 5G ให้แบตเตอรี่มาที่ 4500mAh อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานของเรือธงยุคนี้ เท่าที่ลองใช้งานมาจริง ๆ รู้สึกว่าแบตเตอรี่อยู่ในเกณฑ์พอใช้ครับ ใช้งานทั่วไปถือว่าสบาย ๆ แต่ถ้าเน้นหนักไปที่การถ่ายรูป ยิ่งแบบกลางแจ้งด้วยอาจไม่เพียงพอซะทีเดียว อย่างตอนที่เราใช้ถ่ายรีวิวนำไปถ่ายรูปแบบจัดเต็มประมาณ 2 – 3 ชม. นี่เรียกว่าเกลี้ยงแล้วครับ ต้องหาที่ชาร์จเพิ่มทันที

ผู้บุกเบิก Flash Charge มี 65W SuperVOOC 2.0

แต่ยังโชคดีที่ OPPO Find X3 Pro 5G นั้นมาพร้อมระบบชาร์จไว 65W SuperVOOC 2.0 ช่วยให้เราชาร์จไฟกลับมาได้อย่างรวดเร็ว ความจุแบตฯ 4500mAh นี้ชาร์จเพียง 10 นาทีก็ได้แบตฯกลับมาถึง 40% แล้ว เหมาะมากกับช่วงที่ต้องการใช้แบตเตอรี่แบบด่วน ๆ ขอเวลาแป๊บเดียวก็เติมขึ้นมาเพียงพอต่อการใช้งานต่อได้แล้วครับ


ชาร์จไร้สายได้แล้ว 30W AirVOOC Wireless Flash Charge

นอกจากจะชาร์จแบบสายได้ไวสุด ๆ แล้ว OPPO Find X3 Pro 5G ก็ยังรองรับการชาร์จแบบไร้สายที่ไวสุด ๆ กับ 30W AirVOOC Wireless Flash Charge ด้วย เรียกว่าเร็วกว่าแบบสายของบางค่ายอีก ซึ่ง OPPO เคลมว่าสามารถชาร์จ OPPO Find X3 Pro 5G ได้เต็มในเวลาเพียง 80 นาทีเท่านั้น

มี Reverse Wireless Charging ด้วย

ไม่เพียงแค่นั้น OPPO Find X3 Pro 5G ยังมีฟีเจอร์ Reverse Wireless Charging ให้เราแบ่งพลังงานจากเครื่องให้อุปกรณ์อื่นได้ด้วย แถมความเร็วสูงสุดยังทำได้ถึง 10W อีกต่างหาก จะใช้ชาร์จอุปกรณ์เสริมอย่างหูฟัง หรือชาร์จสมาร์ทโฟนที่รองรับชาร์จไร้สายก็ได้เลยครับ

สรุป “นี่คือสมาร์ทโฟนแฟล็กชิพ 1 พันล้านสีอย่างแท้จริง”

สรุปแล้ว OPPO Find X3 Pro 5G ถือว่าเป็นเรือธงที่น่าสนใจมาก ๆ มาพร้อมจุดเด่นเรื่อง 1 พันล้านสี ที่ยอดเยี่ยมกว่ารุ่นไหน ๆ ในท้องตลาดตอนนี้ ตัวหน้าจอสวยแบบต้องยอมจริง ๆ ทั้งมุมมอง ความคมชัดแบบ QHD+ แบบ 10-bit หรือจะเป็นการตอบสนองก็ลื่นไหลด้วย refresh rate 120Hz จะดูหนัง เล่นโซเชี่ยลหรือเล่นเกมคือฟินแบบขั้นสุด ส่วนเรื่องกล้องแบบ 1 พันล้านสีก็ช่วยให้เราเห็นภาพได้อย่างชัดเจนบนหน้าจอที่เทพขนาดนี้ คือถ่ายออกมาแล้วสวยแค่ไหนดูจากจอก็รู้เลย กล้องที่ให้มา 4 ตัวตอบโจทย์การใช้งานได้ทั้งหมด กล้อง Ultra-wide-angle รอบนี้พัฒนามาดีมาก ดีที่สุดเท่าที่เราเคยทดสอบมาเลย หรือจะเป็นกล้อง Micro Lens อันนี้ก็ช่วยเพิ่มความสนุกในการถ่ายภาพได้อย่างสร้างสรรค์ แต่จะมีจุดที่น่าเสียดายอยู่บ้างก็คงเป็นเรื่องกล้องซูมที่ไม่ดุดันเท่ารุ่นก่อนแล้ว นอกนั้นในเรื่องสเปคก็ไม่มีปัญหาเลยทั้ง Snapdragon 888 และความจุ 12GB + 256GB ที่เร็วแรงตอบโจทย์ หรือระบบชาร์จไวทั้งแบบมีสายและไร้สายอีก เรียกว่า OPPO Find X3 Pro 5G นั้นเป็นเรือธงแห่งการเปิดโลกในเรื่องสีสันอย่างแท้จริงเลยล่ะครับ

OPPO Find X3 Pro 5G ราคา 33,990 บาท

OPPO Find X3 Pro 5G เปิดราคามาที่ 33,990 บาท เริ่มเปิดจองแล้วตั้งแต่วันที่ 18 มี.ค. – 2 เม.ย.นี้ สำหรับผู้ที่สั่งจองจะได้รับของแถมมูลค่า 13,498 บาท ประกอบด้วย

  • OPPO AirVOOC Wireless Charger 45W
  • KEVLAR Case
  • Premium Card

จุดเด่น

  • หน้าจอ 10 bit 1 พันล้านสีคือยอดเยี่ยม
  • กล้องหลักคู่ถ่ายได้ 10 bit คุณภาพเยี่ยมมาก
  • กล้อง Micro Lens คือลูกเล่นใหม่ที่ถ่ายสนุกมาก
  • หน่วยประมวลผลตัวแรง Snapdragon 888
  • ตัวเครื่องดีไซน์เนียนมือ เบาและบางมาก
  • รองรับชาร์จไวทั้งแบบมีสายและไร้สาย

จุดสังเกต

  • ฝาหลังของสี Gloss Black เก็บรอยนิ้วมือง่าย
  • ความสามารถของกล้องซูมถูกลดทอนจากรุ่นก่อน
  • ไม่สามารถเพิ่ม micro-SD ได้

กำลังฮอต

HUAWEI Band 9 ราคาเริ่มต้น 1,299 บาท HUAWEI Band 9 ราคาเริ่มต้น 1,299 บาท
Featured2 วัน ago

5 ข้อควรรู้ก่อนเลือกซื้อสมาร์ทแบนด์ กับความครบเครื่องของ HUAWEI Band 9 สมาร์ทแบนด์ที่เชื่อมต่อสมาร์ทโฟนได้ทุกรุ่น ดูแลสุขภาพยืนหนึ่งในราคาเริ่มต้น 1,299 บาท

ใครที่อยู่ในช่วงเริ่...

Apple News6 วัน ago

AIS เปิดบริการ AIS Care+ with AppleCare Services รายแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ให้ผู้ใช้อุ่นใจมากขึ้น สบายใจที่สุด

AIS คว้า AppleCare S...

Featured4 สัปดาห์ ago

รีวิว vivo Y100 5G สนุกกับสเปกเต็ม 100 ด้วยขุมพลัง SD 4 Gen 2 5G ดีไซน์อัปเกรดสุดพรีเมียม พร้อมชาร์จเร็ว 80W FlashCharge

รีวิว vivo Y100 5G น...

Featured1 เดือน ago

รีวิว realme 12+ 5G | realme 12 Pro+ 5G “Be a Portrait Master” ด้วยกล้อง Periscope ระดับเรือธง | ดีไซน์นาฬิกาหรู | ชาร์จไว 67W SUPERVOOC

รีวิว realme 12+ 5G ...

Featured1 เดือน ago

รีวิว Xiaomi 14 | 14 Ultra เรือธงกล้องเทพในสองขนาด พร้อมการถ่ายภาพและวิดีโอระดับ Next-Generation ของ Leica!

รีวิว Xiaomi 14 Seri...

Copyright © 2012 iphone-droid.net.

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ ดูเพิ่มเติมที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และจัดการได้ที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึก