ดีลที่ไม่มีใครคาดคิดกลับเกิดขึ้นจริง และน่าจะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ที่สุดของวงการฮอลลีวูดในรอบหลายสิบปี เมื่อ Netflix ประกาศเข้าซื้อกิจการฝั่ง “ภาพยนตร์และสตรีมมิง” ของ Warner Bros Discovery มูลค่าสูงถึง 72,000 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 2.3 ล้านล้านบาท กลายเป็นการควบรวมครั้งประวัติศาสตร์ที่อาจทำให้แผนที่ของตลาดสตรีมมิงทั่วโลกต้องถูกเขียนใหม่ทั้งหมด

แม้ก่อนหน้านี้จะมีข่าวว่า Comcast และ Paramount–Skydance ให้ความสนใจ แต่สุดท้าย Netflix เป็นผู้คว้าดีลขนาดมโหฬารนี้ไปได้สำเร็จ ซึ่งไม่ใช่แค่การซื้อคอนเทนต์หรือสตูดิโอใดสตูดิโอหนึ่ง แต่คือการได้ครอบครองแฟรนไชส์ระดับโลกอย่าง Harry Potter, Game of Thrones, DC Universe รวมถึงบริการสตรีมมิงอย่าง HBO Max ที่มีฐานแฟนเหนียวแน่นทั่วโลก
และแน่นอนว่า เมื่อยักษ์ใหญ่สตรีมมิงอันดับหนึ่งของโลกคว้าเจ้าของหนังระดับตำนานแบบ Warner Bros ได้สำเร็จ มันไม่ใช่แค่ดีลธุรกิจธรรมดา แต่เป็นสัญญาณของการเปลี่ยนยุคสู่การแข่งขันรูปแบบใหม่ในอุตสาหกรรมบันเทิงทั้งหมด
Netflix ศตวรรษใหม่ของความบันเทิง
Ted Sarandos ซีอีโอร่วมของ Netflix กล่าวชัดว่า บริษัท “มั่นใจอย่างสูง” ว่าดีลจะผ่านการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล แม้จะมีเสียงคัดค้านจากหลายฝ่ายในฮอลลีวูด รวมถึงสหภาพคนทำงานด้านการเขียนบทที่ออกมาแสดงท่าทีแข็งกร้าวทันที
Sarandos ระบุว่า Netflix เล็งเห็นโอกาสที่หาได้ยากมากในประวัติศาสตร์ธุรกิจบันเทิง และการรวมคอนเทนต์ระดับตำนานของ Warner Bros เข้ากับแพลตฟอร์มที่เข้าถึงผู้ชมกว่า 270 ล้านบัญชีทั่วโลกจะทำให้ Netflix กลายเป็นผู้กำหนดทิศทางวงการในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า
“Warner Bros สร้างมาตรฐานของความบันเทิงในศตวรรษที่ผ่านมา และเราจะร่วมกันนิยามศตวรรษใหม่ต่อจากนี้” – Ted Sarandos
ด้าน Greg Peters ซีอีโอร่วมอีกคน ระบุว่าแบรนด์ HBO จะยัง “สำคัญอย่างยิ่ง” ต่อผู้บริโภค เพียงแต่ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่า HBO Max จะถูกผนวกรวมเข้ากับ Netflix หรือให้บริการแยกเหมือนเดิม แต่สิ่งที่ยืนยันได้คือ Netflix ต้องการใช้ความแข็งแกร่งของแบรนด์ HBO ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
Netflix ได้อะไรจาก Warner Bros
ดีลนี้คิดเป็นราคาซื้อหุ้นที่ 27.75 ดอลลาร์ต่อหุ้น Warner Bros รวมถึงหนี้สินของบริษัท ทำให้มูลค่ากิจการรวม (Enterprise Value) สูงถึง 82,700 ล้านดอลลาร์ แต่ตัวเลขที่ Netflix ต้องจ่ายจริงคือ 72,000 ล้านดอลลาร์ โดยสิ่งที่ Netflix จะได้รับ ได้แก่
1. สิทธิ์ในคลังคอนเทนต์ระดับโลก
- Harry Potter (รวมสิทธิ์ภาพยนตร์ที่ออกฉายแล้ว)
- Game of Thrones และจักรวาลสปินออฟ
- DC Universe (ส่วนใหญ่ของคาแรกเตอร์และภาพยนตร์)
- แอนิเมชันและซีรีส์คลาสสิกจาก Warner Animation, Cartoon Network
- หนังฮอลลีวูดระดับ A-list นับพันเรื่อง
นี่คือคลังคอนเทนต์ที่คู่แข่งอย่าง Disney และ Amazon ยากจะต่อกรในแง่ความหลากหลายและความแข็งแรงของแบรนด์
2. บริการสตรีมมิง HBO Max
แม้ยังไม่ชัดว่าจะถูกรวมเข้ากับ Netflix หรือคงไว้เป็นบริการแยก แต่ความเป็นไปได้คือคอนเทนต์ HBO จะไหลเข้าสู่ Netflix ในรูปแบบ bundle หรือ tier ใหม่ที่ราคาแพงกว่าเดิม
3. สตูดิโอภาพยนตร์และทีวีที่แข็งแกร่ง
Warner Bros Studio ยังทำงานให้ช่อง/สตรีมมิงอื่นได้ตามปกติ ซึ่งถือเป็นรายได้เสริมอีกทางหนึ่งของ Netflix
4. การประหยัดต้นทุนมหาศาล
Netflix คาดว่าจะสามารถลดค่าใช้จ่ายได้ปีละ 2–3 พันล้านดอลลาร์ โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี ซอฟต์แวร์ และงานสนับสนุนที่ซ้ำซ้อนกันระหว่างสองบริษัท
เสียงคัดค้านในฮอลลีวูด
แม้จะเป็นดีลที่ Netflix มองว่าเป็นโอกาสทางธุรกิจ แต่ฝ่ายแรงงานในอุตสาหกรรมบันเทิงกลับมองว่าเป็นสัญญาณอันตราย โดย Writers Guild of America (WGA) ทั้งฝั่งตะวันออกและตะวันตก ออกแถลงการณ์ทันทีว่า
- การควบรวมจะลดจำนวนงานผลิตคอนเทนต์
- กดค่าแรงและสวัสดิการ
- ลดความหลากหลายของผลงานที่ออกสู่ตลาด
- ทำให้ผู้บริโภคต้องจ่ายแพงขึ้น
ด้านสมาคมโรงภาพยนตร์ Cinema United ก็ออกมาระบุว่าดีลนี้เป็นภัยคุกคามไม่เคยมีมาก่อนต่อธุรกิจโรงหนัง โดยเกรงว่า Warner Bros อาจลดการฉายในโรงเพื่อดันคอนเทนต์เข้าสู่ Netflix มากขึ้น
แม้ Netflix ยืนยันว่าหนังโรงยังคงสำคัญ แต่สตูดิโอใหญ่กลายเป็นของแพลตฟอร์มสตรีมมิงโดยตรงย่อมทำให้ความกังวลยังคงมีอยู่
ดีลนี้อาจทำให้ราคาสตรีมมิงพุ่งขึ้น
Tom Harrington จาก Enders Analysis วิเคราะห์ว่า หากดีลผ่านการตรวจสอบ กำลังจะเกิดสิ่งที่เรียกว่า “Hollywood Reorientation” หรือการจัดระเบียบใหม่ของวงการฮอลลีวูด ซึ่งเขาคาดว่าจะนำไปสู่การลดจำนวนโปรเจ็กต์หนังและซีรีส์ที่ผลิตออกมา
สำหรับผู้บริโภค ผลลัพธ์อาจไม่สวยนัก เพราะ Netflix มีสิทธิ์ขึ้นราคา และ HBO Max อาจถูกลดบทบาท หรือรวมเข้ากับแพลตฟอร์มที่มีฐานผู้ใช้มหาศาล รวมถึงผู้ชมต้องจ่ายค่าสมัครรวมที่สูงขึ้น แม้ว่าบริการจะรวมอยู่ในแพลตฟอร์มเดียวก็ตาม
ด้าน Paolo Pescatore นักวิเคราะห์ TMT ระบุว่าดีลนี้คือจุดยืนที่ชัดเจนว่า Netflix ตั้งใจเป็นผู้นำโลกสตรีมมิงแบบไร้คู่แข่ง แต่การผสานกิจการขนาดใหญ่ระดับ Warner Bros ไม่ใช่เรื่องง่าย และอาจสร้างความปวดหัวให้ Netflix ในระยะเริ่มต้น
Warner Bros จากบริษัทสื่อเก่าแก่สู่การยกเครื่องครั้งใหญ่
ดีลนี้เกิดขึ้นหลัง Warner Bros Discovery ตัดสินใจแยกบริษัทออกเป็นสองส่วน ได้แก่:
- Streaming + Studios ขายให้ Netflix
- Global Networks (Discovery Global) ถือครอง CNN, Discovery, TNT Sports และกลุ่มช่องในสหรัฐและยุโรป
ส่วน TNT Sports International จะยังอยู่กับธุรกิจ Streaming + Studios ซึ่งหมายความว่าจะถูกส่งต่อไปยัง Netflix ด้วย
David Zaslav ซีอีโอของ Warner Bros Discovery กล่าวว่า การรวมตัวกับ Netflix คือโอกาสให้ผลงานของ Warner Bros ถูกเผยแพร่สู่ผู้ชมทั่วโลกในระดับที่สูงยิ่งกว่าเดิม
เรื่องน่าสนใจเพิ่มเติม:
ที่มา: BBC