Connect with us

Apple News

พรีวิว iPhone 13 และ iPhone 13 Pro เครื่องศูนย์ไทยครบทุกสี รวมมาให้ดูเต็ม ๆ ที่นี่แล้ว

Published

on

iPhone 13 และ iPhone 13 Pro วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยเรียบร้อย รีวิวฉบับเต็มของเราก็มีแล้วด้วยที่นี่ (รีวิว iPhone 13 | รีวิว iPhone 13 Pro Max) แต่ในบทความนี้เราจะขอพาไปชมสีสันทั้งหมดของ iPhone 13 และ iPhone 13 Pro กันสักหน่อย เผื่อใครที่กำลังลังเลว่าจะสีไหนดีเนาะ พร้อมแล้วมาชมพร้อม ๆ กันเลยครับ

iPhone 13 มีให้เลือก 5 สี

ขอเริ่มที่ iPhone 13 และ iPhone 13 mini ก่อนเลยเนาะ ปีนี้ยังคงมีให้เลือกมากถึง 5 สีเหมือนเดิม แต่ชื่อสีมีการปรับใหม่อยู่ รวมแล้ว 5 สีที่ว่ามานี้จะประกอบด้วย

  • ชมพู
  • น้ำเงิน
  • มิดไนท์
  • สตาร์ไลท์
  • (PRODUCT) RED

สีมิดไนท์

ซึ่งโทนของแต่ละสีจะมีความแตกต่างจากรุ่นก่อนอยู่ด้วยครับ ขอเริ่มที่สีมิดไนท์ก่อนเลย สีนี้ถ้าดูทั่วไปก็คงคิดว่าเป็นสีดำแบบเดิม ๆ แน่นอน แต่ถ้าตัวเครื่องมีการสะท้อนกับแสงสีจะออกโทนน้ำเงินเข้ม ๆ เข้ามาด้วย เราว่าสีดำแบบนี้ก็ดูมีอะไรดีไม่ทื่อจนเกินไป

สีน้ำเงิน

ต่อมาเป็นสีน้ำเงินที่ปรับโทนให้อ่อนลงจากปีที่แล้วบน iPhone 12 อีกหน่อยครับ สีจะมีความลงตัวมากขึ้น ไม่เข้มจนเกินไป ละก็ออกโทนร้อนกว่าเดิมอีกนิดทำให้เป็นสีน้ำเงินที่ดูเข้าที่เข้าทางกว่าเดิมอีก

สีสตาร์ไลท์

สตาร์ไลท์หรือหลายคนอาจจะเรียกว่าสีขาว ใช่ครับภายนอกถ้าเรามองจริง ๆ ก็คงคิดว่าเป็นสีขาวแต่ด้วยความที่ Apple ตั้งชื่อเป็นสตาร์ไลท์ จึงยังมีความแตกต่างอยู่นิดหน่อยตรงขอบตัวเครื่องครับ จากเดิมถ้าเป็นสีขาวจะตัดกับขอบเครื่องสีเงินอมทองนิด ๆ แต่รอบนี้จะมีความทองที่อุ่นขึ้นสดขึ้นอีกนิด ทำให้เป็นสีที่สวยขึ้นไปอีก

(PRODUCT) RED

(PRODUCT) RED แดงที่เข้มถึงใจเลยปีนี้ สีแดง (PRODUCT) RED บน iPhone 12 ถ้ายังจำกันได้โทนจะออกสว่างหน่อย เกือบ ๆ ไปทางส้มเข้มแล้ว แต่ในปีนี้สีแดงจะเป็นสีแดงสดที่ตัดกับขอบเครื่องสีแดงเข้ม ลงตัวขึ้นมาก ใครที่ชอบสีแดงแบบสด ๆ ต้องถูกใจ (PRODUCT) RED ของ iPhone 13 ในปีนี้แน่นอน

สีชมพู

ปิดท้ายที่สีชมพูที่เป็นสีใหม่ของปีนี้ ชมพูของ iPhone 13 จะมีความพาสเทลเบา ๆ แต่ก็ไม่ชมพูจ๋าจนแสบตา ออกโทนนวล ๆ ที่มีความสดน้อยมาก แทบจะเป็นเงินไปแล้ว แต่ความอ่อนนี้เราจึงคิดว่าเป็นสีที่เข้าได้กับหลายคนมากและดูหรูมีระดับกว่าแบบเข้ม ๆ ด้วยซ้ำ สวยมากครับสีนี้

ดูสีสันไปครบถ้วนแล้ว ขอมาดูดีไซน์ภายนอกที่แตกต่างจากรุ่นก่อนกันอีกสักนิด จุดแรกที่เราขอพูดถึงคือการวางตำแหน่งกล้องครับ ด้วยความที่เซ็นเซอร์กล้องบน iPhone 13 และ iPhone 13 mini นั้นมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น จึงไม่สามารถวางตำแหน่งเท่ากับรุ่นก่อนได้แล้ว Apple จึงเลือกว่าในแนวทะแยงซึ่งก็ช่วยให้ดีไซน์เปลี่ยนไปด้วย เพราะถ้าไม่มีตรงนี้เราคงแยกไม่ออกจริง ๆ

และด้วยขนาดเซ็นเซอร์ที่ใหญ่ขึ้นทำให้โมดูลกล้องด้านหลังจะมีความใหญ่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเลย ยิ่งบน iPhone 13 mini ที่มีขนาดกล้องเท่ากับ iPhone 13 แต่ตัวเครื่องเล็กกว่าจะเห็นว่ากล้องนั้นเป็นขนาดที่มหึมาไม่น้อยเลย

ขอบตัวเครื่องแทบจะเหมือนกับรุ่นก่อนเลย ฝาหลังยังคงเป็นแบบมันวาวตัดกับกรอบอลูมิเนียมที่เป็นผิวด้านตรงนี้เรายังคงชอบมาก ๆ นะ เพราะเวลาจับถือจะไม่เก็บรอยนิ้ว แต่ความหนาของ iPhone 13 และ iPhone 13 mini จะมากกว่ารุ่นก่อนนิดหน่อย (7.65 มม. vs 7.4 มม.)

ส่วนด้านหน้า iPhone 13 และ iPhone 13 mini ยังมีขนาดหน้าจอ 6.1″ และ 5.4″ เท่าเดิม ทรงก็คล้ายเดิม แต่ถ้ามาสังเกตที่รอยบากบนหน้าจอแล้วจะมีความแคบกว่ารุ่นก่อน เพราะรอบนี้ Apple ได้ย้ายตำแหน่งของลำโพงสนทนาขึ้นไปด้านบนสุดชิดขอบและวางเซ็นเซอร์ Face ID กับกล้องหน้าเรียงกันเลยครับ

โดยรวมในเรื่องดีไซน์ของ iPhone 13 และ iPhone 13 mini ก็จะคล้ายกับ iPhone 12 เลย จะมีจุดแตกต่างอยู่นิดหน่อยทั้งการวางกล้องใหม่ รอยบากที่เล็กลง หรือที่ชัดหน่อยก็คงเป็นโทนสีใหม่นั่นเองครับ แต่ถึงแม้ภายนอกจะมีความคล้ายกันมาก แต่เราบอกตรงนี้ก่อนเลยว่าเคสเดิมที่เคยใช้บน iPhone 12 ไม่สามารถใช้ร่วมกันได้นะครับ

iPhone 13 Pro มีให้เลือก 4 สี

มาต่อที่รุ่น Pro กันบ้าง iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max จะมีให้เลือก 4 สีครับ มีสีใหม่ชื่อว่า เซียร์ร่าบลู (Sierra Blue) รวมกับ 3 สีที่ใช้ชื่อเดิมแล้วจะประกอบไปด้วย

  • เซียร์ร่าบลู
  • เงิน
  • ทอง
  • กราไฟต์

สีเซียร์ร่าบลู

เราขอเริ่มที่สีเซียร์ร่าบลูที่เป็นสีใหม่ก่อนเลยละกันครับ รอบนี้ Apple ใช้โทนสีฟ้าอ่อน ๆ แบบพาสเทลมาเลย แตกต่างจากแปซิฟิกบลูของปีที่แล้วที่จะใช้โทนเข้ม ตรงนี้น่าจะตอบโจทย์คนที่ชอบสีสว่าง ๆ แต่ก็ดูมีลูกเล่นกว่าสีเงินทั่วไปครับ เพราะนอกจากสีฟ้าอ่อน ๆ แบบละมุนของฝาหลังแบบด้านแล้ว กรอบตัวเครื่องยังมีความฟ้าแบบมันวาวอยู่ด้วย เราว่าเป็นสีฟ้าที่ดูลงตัวมากเลย ไม่แรงจนเกินไปและก็ไม่อ่อนจนไม่ชัด

สีทอง

มาต่อกับสีทองที่ปีที่แล้วบน iPhone 12 Pro มีการปรับโทนให้อ่อนลงมาก จนเกือบเป็นสีครีมไปแล้ว ปีนี้ Apple เลือกปรับโทนให้ดูสดขึ้นอีกหน่อย มีความเป็นทองมากขึ้น ยิ่งบวกกับกรอบเครื่องสแตนเลสที่สีทองแบบอร่ามเลยด้วย ยิ่งทำให้ดูหรูหราเข้าไปอีกครับ

สีเงิน

ต่อมาเป็นสีมาตรฐานอย่างสีเงิน ปีนี้ก็ยังคงความเรียบง่ายแต่ลงตัวเหมือนเดิม ความขาวของฝาหลังที่เรียกว่าคลีนเอามาก ๆ กรอบเครื่องก็เป็นสีเงินของสแตนเลสแบบเพียว ๆ เลย สีนี้ไม่ต่างจากรุ่นก่อนเท่าไหร่ ใครที่ยังชอบความขาวแบบบริสุทธิ์แบบนี้อยู่ คงถูกใจครับ

สีกราไฟต์

ปิดท้ายที่สีกราไฟต์ ปีนี้ก็ยังเป็นโทนเทาแบบเดิมเป๊ะ ไม่ได้เข้มขึ้นหรือปรับโทนใด ๆ เลยครับ ยังเป็นสีที่คลาสสิคที่เชื่อว่าหนุ่ม ๆ หลายคนคงเลือกได้ไม่ยากนักครับ

มาดูดีไซน์โดยรวมกันต่ออีกหน่อยเนาะ กล้องหลังของ iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max จะไม่ได้เปลี่ยนการวางตำแหน่งเหมือน iPhone 13 ยังคงวางเป็นสามเหลี่ยมเหมือน iPhone 12 Pro แต่จุดที่แตกต่างชัดเจนคือ “ขนาด” ของโมดูลกล้องครับ ด้วยการอัปเกรดเซ็นเซอร์กล้องใหม่ทั้ง 3 ตัว ทำให้กล้องนั้นมีขนาดใหญ่ขึ้นมากโดยเฉพาะกับ iPhone 13 Pro (ไม่ Max)

ที่ด้านหน้ารอยบากก็ลดขนาดลงไปอีกเช่นเดียวกับ iPhone 13 ครับ แต่ก็ไม่ได้เพิ่มการแสดงผลใด ๆ เข้ามา ตำแหน่งไอคอนที่ด้านบนยังเหมือนเดิม แม้พื้นที่จะเพิ่มมากขึ้นอีกหน่อยแต่ยังไม่มีพื้นที่ให้เปอร์เซ็นต์แบตเตอรี่อยู่ดี

หน้าจอ ProMotion มาแล้ว! แต่จุดที่เราประทับใจที่สุดบน iPhone 13 Pro นอกจากเรื่องสีใหม่แล้วก็คือหน้าจอนี่แหละครับ แม้รอยบากจะไม่ได้ต่างจนชัดเจนมาก แต่การาตอบสนองของหน้าจอแบบ Adaptive ProMotion ที่สามารถปรับ refresh rate ได้ตั้งแต่ 10Hz – 120Hz นั้นช่วยให้เราใช้งานได้อย่างลื่นไหลจริง ๆ มันลื่นมาก!

ครบทุกสีแล้วนะ

เป็นอย่างไรบ้างครับ ให้ชมกันครบทุกสีแล้วสำหรับ iPhone 13 และ iPhone 13 Pro น่าจะช่วยให้ใครหลายคนตัดสินใจได้บ้างว่าสีไหนที่เหมาะกับเราเนาะ ส่วนการใช้งานจริงสามารถอ่านได้ที่รีวิวฉบับของเราได้เลยที่นี่ (รีวิว iPhone 13 | รีวิว iPhone 13 Pro Max)

ราคา iPhone 13 และ iPhone 13 Pro

สำหรับราคาของ iPhone 13, iPhone 13 mini, iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max ก็มีดังนี้ครับ

ราคา iPhone 13 mini

  • iPhone 13 mini (128GB) ราคา 25,900 บาท
  • iPhone 13 mini (256GB) ราคา 29,900 บาท
  • iPhone 13 mini (512GB) ราคา 37,900 บาท

ราคา iPhone 13 

  • iPhone 13 (128GB) ราคา 29,900 บาท
  • iPhone 13 (256GB) ราคา 33,900 บาท
  • iPhone 13 (512GB) ราคา 41,900 บาท

ราคา iPhone 13 Pro

  • iPhone 13 Pro (128GB) ราคา 38,900 บาท
  • iPhone 13 Pro (256GB) ราคา 42,900 บาท
  • iPhone 13 Pro (512GB) ราคา 50,900 บาท
  • iPhone 13 Pro (1TB) ราคา 58,900 บาท

ราคา iPhone 13 Pro Max

  • iPhone 13 Pro Max (128GB) ราคา 42,900 บาท
  • iPhone 13 Pro Max (256GB) ราคา 46,900 บาท
  • iPhone 13 Pro Max (512GB) ราคา 54,900 บาท
  • iPhone 13 Pro Max (1TB) ราคา 62,900 บาท

กำลังฮอต

HUAWEI Band 9 ราคาเริ่มต้น 1,299 บาท HUAWEI Band 9 ราคาเริ่มต้น 1,299 บาท
Featured2 วัน ago

5 ข้อควรรู้ก่อนเลือกซื้อสมาร์ทแบนด์ กับความครบเครื่องของ HUAWEI Band 9 สมาร์ทแบนด์ที่เชื่อมต่อสมาร์ทโฟนได้ทุกรุ่น ดูแลสุขภาพยืนหนึ่งในราคาเริ่มต้น 1,299 บาท

ใครที่อยู่ในช่วงเริ่...

Apple News6 วัน ago

AIS เปิดบริการ AIS Care+ with AppleCare Services รายแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ให้ผู้ใช้อุ่นใจมากขึ้น สบายใจที่สุด

AIS คว้า AppleCare S...

Featured4 สัปดาห์ ago

รีวิว vivo Y100 5G สนุกกับสเปกเต็ม 100 ด้วยขุมพลัง SD 4 Gen 2 5G ดีไซน์อัปเกรดสุดพรีเมียม พร้อมชาร์จเร็ว 80W FlashCharge

รีวิว vivo Y100 5G น...

Featured1 เดือน ago

รีวิว realme 12+ 5G | realme 12 Pro+ 5G “Be a Portrait Master” ด้วยกล้อง Periscope ระดับเรือธง | ดีไซน์นาฬิกาหรู | ชาร์จไว 67W SUPERVOOC

รีวิว realme 12+ 5G ...

Featured1 เดือน ago

รีวิว Xiaomi 14 | 14 Ultra เรือธงกล้องเทพในสองขนาด พร้อมการถ่ายภาพและวิดีโอระดับ Next-Generation ของ Leica!

รีวิว Xiaomi 14 Seri...

Copyright © 2012 iphone-droid.net.

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ ดูเพิ่มเติมที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และจัดการได้ที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึก