รีวิว Galaxy Z Flip7 สมาร์ทโฟนจอพับเล็กรุ่นล่าสุดของ Samsung ที่ปีนี้ปรับโฉม ปรับดีไซน์มาใหม่ได้น่าใช้กว่าเดิม ทั้งหน้าจอนอกที่ใหญ่เต็มตา 4.1″ จอในที่กว้างกว่าเดิมเป็น 6.9″ อัปเกรดสเปคภายในเป็นชิป Exynos 2500 เพิ่มแบตฯให้ 4300mAh รวมถึงฟีเจอร์จากซอฟต์แวร์เวอร์ชั่นล่าสุด One UI 8.0 บน Android 16 อีกด้วย!

หลังจากถือใช้งานมาหนึ่งสัปดาห์ วันนี้เราขอมารีวิว Galaxy Z Flip7 ให้ชมกันว่า น่าสนใจแค่ไหน ติดตามครับ!
สรุปสเปค Galaxy Z Flip7
- หน้าจอนอก : SuperAMOLED ขนาด 4.1″ ความละเอียด 1048 x 948 พิกเซล
- หน้าจอใน : Dynamic AMOLED 2X ขนาด 6.9″ ความละเอียด 2520 x 1080 พิกเซล (21:9)
- Refresh rate : 60Hz/120Hz (จอนอก) | 1 – 120Hz LTPO (หน้าจอหลัก)
- ชิปเซ็ต : Exynos 2500 Deca-core 3.3GHz (3nm)
- RAM : 12GB
- ROM : 256GB/512GB
- แบตเตอรี่ : 4300mAh
- ระบบชาร์จ : 25W Super Fast Charge
- กล้องหลัง : 2 ตัว
- 50MP กล้องหลัก f/1.8, Dual Pixel AF, OIS
- 12MP กล้อง Ultra Wide f/2.2 มุมกว้าง 123°
- กล้องหน้า : 10MP f/2.2
- รองรับการเชื่อมต่อ : Wi-Fi 7, Bluetooth 5.4, NFC และพอร์ต USB-C
- กันน้ำ : มาตรฐาน IP48
- ระบบปฏิบัติการ : Android 16 (One UI 8.0)
- สีสัน : Blue Shadow, Coralred, Jet Black และ Mint (Online Exclusive)

ดีไซน์ใหม่หมด ดูล้ำระดับ Ultra!
มาเริ่มกันที่เรื่องดีไซน์ก่อนเลย! Galaxy Z Flip7 นั้นได้อัปเกรดดีไซน์แบบใหม่หมดของจริง หลังจากที่ปีก่อนไม่ได้เพิ่มเติมอะไรมากนัก ซึ่งจุดที่เปลี่ยนจริง ๆ ก็คงหนีไม่พ้นเรื่อง “หน้าจอนอก” หรือ FlexWindow ที่ใหญ่เต็มตาขึ้นอย่างชัดเจน จาก 3.4″ ทรงโฟลเดอร์ มาเป็น 4.1″ แบบชิดขอบไปเลย

แสดงผลได้เต็มแบบสุดขอบไปหมดเลย ใช้พื้นที่เต็มไปถึงตัวกล้องคู่เลย ให้พื้นที่ในการแสดง Wallpaper ได้อีกเยอะ เวลาเราปลุกจอขึ้นมาจะรู้สึกถึงความอลังการได้อย่างมาก รวมถึงพวก Widget ต่าง ๆ ที่ใช้แสดงบนหน้าจอนอกนี้ด้วยเนาะ

อีกทั้ง Refresh rate ก็ปรับให้สูงสุดที่ 120Hz แล้วด้วย ทำให้ใช้งานได้ลื่นไหลเข้ากันทั้งจอนอกและจอในแล้ว ไม่ว่าจะเลื่อนดู Widget สลับการทำงานจาก Control Center หรือดูแจ้งเตือน และแน่นอนว่าเราสามารถเปิดแอปจริง ๆ ได้เลย ซึ่งสามารถตั้งค่าได้ผ่าน Lab ในเครื่อง และก็ยังสามารถเพิ่มเติมได้จากแอป Goodlock เหมือนเคย เดี๋ยวไว้อธิบายเต็ม ๆ ในหมวดการใช้งานอีกทีละกันเนอะ

หน้าจอในก็ใหญ่เต็มตา อัตราส่วนที่เข้าที่ขึ้นอีก
ไม่ใช่แค่จอนอกใหญ่ขึ้นเท่านั้น แต่จอในก็ขยายให้ใหญ่ขึ้นจาก 6.7″ มาเป็น 6.9″ ด้วยครับ! และที่สำคัญที่สุดคืออัตราส่วนเปลี่ยนจาก 22:9 มาเป็น 21:9 แล้วนะ ทำให้ดูกว้างออกข้างกว่าเดิมอย่างชัดเจน เป็นอัตราส่วนที่เข้าใกล้ความเป็นสมาร์ทโฟนทั่วไปขึ้นอีก ไม่ยาวจนใช้งานยากแล้ว เวลาจะพิมพ์บนคีย์บอร์ดก็แม่นขึ้นมาก เพราะตัวหนังสือไม่เบียดกันจนเกินไป

และพอจอเป็น 6.9″ ก็ถือว่าใหญ่แบบเต็มขั้น เพราะเป็นขนาดเท่ากับ S25 Ultra แล้วนะ (แต่อัตราส่วนยังต่างกันอยู่) เอามาดูคอนเทนต์ต่าง ๆ หรือโซเชี่ยลก็ได้เต็มตาขึ้นอย่างชัดเจน ก็ความละเอียดระดับ FHD+ ก็เพียงพอต่อขนาดหน้าจอแล้วล่ะ สีสันทำได้ดีตามสไตล์ Samsung แถมยังรองรับความสว่างสูงสุดที่ 2600nits ด้วย

รอยพับของรุ่นนี้ต้องบอกเลยว่าทำได้ดีขึ้นจากรุ่นก่อน ๆ มาก มีการปรับปรุงให้ถูกใจเราแล้วจริง ๆ แม้จะยังเห็นได้บ้างเวลาสะท้อนกับแสง แต่ในการสัมผัสจริงก็รู้สึกได้เลยว่าบางลงอย่างเห็นได้ชัด ถ้าใช้งานในท่าทางปกติมองจอตรง ๆ บอกเลยว่าแทบแยกไม่ออกแล้วครับว่านี่คือรุ่นจอพับ เก่งจริง ๆ นะ Samsung

บานพับแบบ Flex Hinge พับได้หลากหลายองศา และแข็งแกร่งขึ้นอีก
บานพับของ Galaxy Z Flip7 ก็มีการอัปเกรดในเรื่องของวัสดุภายในมาเป็น Armor Aluminum รุ่นใหม่ ช่วยในเรื่องความแข็งแรงในพับ-กาง บวกกับกรอบเครื่องที่ใช้ Armor Aluminum ผิวด้านด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้รู้สึกถึงความมั่นคงเวลาหยิบจับ หรือใช้งานได้จริง ๆ เห็นแค่กะทัดรัดแบบนี้ แต่แกร่งใช่เล่นนะ!

ไม่ใช่แค่แกร่งขึ้น แต่ยังบางลงอีกหน่อยด้วยนะ Galaxy Z Flip7 จะมาพร้อมความบางตอนกางเพียง 6.5 มม. จาก 6.9 มม. และตอนพับก็จะลดลงมาเหลือ 13.7 มม. จาก 14.9 มม. แม้จะไม่ได้รีดลงมาได้เยอะเท่ากับ Z Fold7 แต่ก็ถือว่าเป็นขนาดที่กำลังพอเหมาะพอเจาะแล้ว ส่วนน้ำหนักเพิ่มขึ้นแค่ 1 กรัม เป็น 188 กรัมเท่านั้นครับ


ส่วนเรื่ององศาของการกางออก เราชม Samsung มาตลอดว่าทำได้ดีกว่าคู่แข่งแบบชัดเจน เพราะเราสามารถกางออกไปตามที่ต้องการ ไม่ต้องกลัวจะดีดไปเมื่อกางใกล้สุด หรือพับใกล้สุดมาก ๆ เวลาพับ-กางจะรู้สึกถึงความแน่นหนา ไม่หลวมง่าย แต่ก็ยืดหยุ่นให้การใช้งานมาก ๆ

สีสันที่โดดเด่นไม่แพ้กัน
สีสันของ Galaxy Z Flip7 ก็ยังคงโดดเด่นอยู่เหมือนเคย เพราะจะโชว์ไปรอบตัวเครื่อง ตั้งแต่ฝาหลังไปจนถึงกรอบเครื่องเลย อย่างสี Blue Shadow ที่เราได้มารีวิวนั้นก็จะเป็นโทนน้ำเงินเข้มที่สื่อถึงความเป็น Samsung ได้ดีมาก น้ำเงินที่สวยลึก มีมิติ และผิวสัมผัสเป็นแบบด้านหมด มอบสัมผัสการจับถือที่ดีและไม่เก็บคราบรอยนิ้วมือจนเกินไป

มีน้องเล็กใหม่ Galaxy Z Flip7 FE ด้วย!
อ๊ะ…เกือบลืม รอบนี้ Samsung เปิดตัวรุ่นน้องเล็กใหม่ อย่าง Galaxy Z Flip7 FE มาด้วยนะ เป็นรุ่นที่ใช้บอดี้เดียวกับ Z Flip6 เดิม และปรับสเปคภายในลงอีกหน่อย ๆ ไหน ๆ ก็พูดถึงการเปลี่ยนแปลงแบบจัดเต็มของ Z Flip7 แล้ว เราขอเอามาเทียบดีไซน์ให้ชม เพิ่มการเห็นภาพขึ้นอีกดีกว่าเนอะ

อย่างที่บอกว่า Galaxy Z Flip7 ได้หน้าจอที่ใหญ่ขึ้นมาก ลองเทียบแค่หน้า Wallpaper ปกติก่อนก็จะเป็นว่าจาก 3.4″ ของ Galaxy Z Flip7 FE (หรือ Z Flip6) ขยายมาถึง 4.1″ ของ Z Flip7 แล้วได้ขนาดที่ใหญ่ขึ้น เต็มตาขึ้นมาก

หรือถ้าลองเอามาเทียบในการใช้เป็นตัวอย่างตอนเซลฟี่ก็จะยิ่งเห็นชัด ได้พื้นที่เต็มกว่ามาก ไม่รู้สึกอึดอัดเวลาจะใช้จอนอกเลย อันนี้ขอดีของจอนอกใหม่จริง ๆ ครับ เต็มมาก!

ขนาดหน้าจอด้านในที่ขยายออกจาก 6.7″ อัตราส่วน 22:9 มาเป็น 6.9″ อัตราส่วน 21:9 ก็ได้ความกว้างกว่าอย่างชัดเจน แน่นอนว่าเวลาถือใช้งานให้ความรู้สึกที่ธรรมชาติมากขึ้น

ความบางก็ลดลง มองจากภาพอาจจะไม่ได้รู้สึกมากนัก แต่ถ้าได้ถือเทียบกันจริง ๆ ก็รู้สึกได้อยู่ครับ ว่า Z Flip7 นั้นบางลง ทั้งตอนพับจอและกางจอออกมาเลยล่ะ

โดยรวมในเรื่องดีไซน์ของ Galaxy Z Flip7 ก็สรุปเลยว่ายอดเยี่ยมจริง เป็นการอัปเกรดดีไซน์แบบเห็นได้ชัดสุด ๆ ในรอบ 2 ปีของ Z Flip เลย การปรับหน้าจอนอกให้ใหญ่ได้ขนาดนี้ มอบพื้นที่การแสดงผลได้แบบจรดขอบ ไม่ต้องทำอะไรแค่ดู Wallpaper ก็ชอบแล้ว แถมจอด้านในยังได้อัตราส่วนใหม่ จอใหญ่ขึ้น สนุกขึ้นในทุกการใช้งาน เรื่องความทนทานต่าง ๆ ก็ลงตัวขึ้น และทั้งหมดยังคงอยู่ในรูปลักษณ์ที่กะทัดรัดเวลาพับเก็บ พกพาได้สะดวก กางออกมาก็อลังการจริง ๆ

FlexWindow จอนอกที่ใหญ่ขึ้น มอบประสบการณ์ที่ดีกว่า
มาเข้าสู่เรื่องประสบการณ์การใช้งานกันหน่อย อย่างที่บอกว่า Galaxy Z Flip7 รอบนี้ได้หน้าจอนอกที่ใหญ่ขึ้นมาก ในใช้งานก็เลยทำได้เต็มอิ่มกว่าเดิม ควบคุมไม่ได้ยุ่งยาก อย่างหน้าแรกเป็นหน้าหลักที่มีภาพ Wallpaper พร้อมนาฬิกา, ลากจากมุมบนลงมาจะเป็นหน้า Control Center ทางลัดเปิด-ปิดการทำงาน, เลื่อนขวาหน้าซ้ายสุดจะเป็นการแจ้งเตือน, และเลื่อนซ้ายจะมีหน้า Widget ที่เรียงกันมาเรื่อย ๆ เป็นต้น


ด้านการปรับแต่งหน้า Wallpaper บน One UI 8 ก็ทำได้หลากหลายขึ้น มีตัวเลือกให้เลือกมากกว่าเดิม จริง ๆ แบบ Preset ที่เครื่องมีมาให้ก็หลายแบบแล้ว ไม่ว่าจะเป็น
- Informative presets แสดงข้อมูลเยอะ ๆ รวม Widget ไว้ในหน้าหลัก
- Emojis ตกแหน่งหน้าจอด้วย Emoji ต่าง ๆ
- Interactive มีอนิเมชั่นตอบโต้
- Graphical ภาพกราฟิกจากระบบ
- Colours แบบโทนสีต่าง ๆ

ซึ่งทั้งหมดนี้เราสามารถเลือกปรับแต่งเพิ่มเติมได้อีกในแต่ละรูปแบบ จะเปลี่ยนโทน หรือปรับรูปแบบนาฬิกา เป็นต้น
ส่วนถ้าใครที่อยากใช้ภาพถ่าย ตั้งรูปสัตว์เลี้ยงน่ารักไว้บนจอหลัก หรือรูปแฟน รูปครอบครัว ก็เลือกได้เช่นกัน ซึ่งเราสามารถเลือกรวมกันได้สูงสุด 15 แบบ เผื่ออยากให้ภาพเปลี่ยนทุกครั้งที่ปลุกจอก็ได้

แถมตัวรูปแบบนาฬิกาบน One UI 8 ก็มีให้เลือกเพิ่มขึ้นมาก ทั้งฟอนต์และสไตล์ ที่เราชอบมาก ๆ คงเป็นตัวเลือกฟอนต์ที่ 2 ที่ตัวเลขจะขยับหลบภาพได้ ทำให้เวลาจัดวางดูยืดหยุ่นขึ้น ไม่บดบังภาพสวย ๆ ของเรา แต่ฟอนต์นี้จะมีข้อจำกัดอยู่บ้างคือใช้กับการตั้งค่า Wallpaper หลายรูปไม่ได้เนาะ ต้องตั้งแค่ภาพเดียวเท่านั้นครับ

ส่วนการใช้งานร่วมกับแอปในหน้าจอนอก ให้เข้าไปเปิดการตั้งค่าใน Labs เพื่ออนุญาตให้แอปบางตัวใช้งานในหน้าจอนอกได้ อาทิ YouTube, Line, Google Maps, Messages และ Netflix
เข้าไปตั้งค่าได้ที่ แอป Settings > Advanced Features > Labs > Apps allowed on cover screen

ซึ่งก็พอจะใช้งานเบื้องต้นได้ครับ การแสดงผลจะแสดงแค่เหนือกล้องขึ้นไป ส่วนด้านล่างจะถมดำไปหมด อาจจะไม่ได้เต็มตาแบบตอนที่เราใช้งาน Widget หรือหน้า Wallpaper นัก

ใช้งานได้ทุกแอปผ่านแอป Good Lock
อย่างที่บอกว่าแอปที่รองรับเบื้องต้นนั้นมีไม่เยอะ แต่เราสามารถเพิ่มทุกแอปให้ใช้ผ่านหน้าจอนอกได้ ผ่านแอป MultiStar (ส่วนหนึ่งของ Good Lock) ซึ่งรอบนี้เราสามารถเลือกโหลดได้จากหน้า Labs เลย จะมีตัวเลือก Get MultiStar ด้านล่าง กดโหลดได้เลย

ทีนี้เราจะเลือกแอปไปแสดงที่หน้าจอนอกได้ทั้งหมดแล้วครับ บันเทิงเลยครับ เรียกแอปอะไรก็ได้บนหน้าจอนอกแบบนี้ อาทิ เราอยากไถฟีด Facebook, ตอบแชท, เข้ามาเก็บไอเท็มในเกมตามช่วงเวลา หรือเล่น Tiktok แบบพอเพลิน ๆ ทันทีแบบไม่ต้องกางจอออกมา


ซึ่งหากเปิดใช้งานแอปด้วย Good Lock นี้ จะมีไอคอนตัวเลือกให้เราปรับสัดส่วนของหน้าจอแอป 3 โหมดด้วย ได้แก่
- โหมดเต็มจอ อันนี้จะแสดงผลเต็มพื้นที่ทั้งหมดไปเลย โดยไม่สนว่าตัว UI จะถูกบดบังหรือไม่ อันนี้ก็เหมาะกับพวกการดูวิดีโอหรือคอนเทนต์ที่อยากให้เต็มให้หมด
- โหมดเว้นส่วนกล้อง อันนี้จะเหมือนกับที่ระบบเริ่มต้นทำได้ คือตัดส่วนล่างให้เป็นสีดำทั้งหมด และให้พื้นที่ส่วนบนแสดงผล ตรงนี้แก้เรื่องไอคอนถูกบังได้ แต่ก็ลดทอนพื้นที่บางส่วนไปเนาะ
- โหมดแนวตั้ง อันสุดท้ายจะแก้ปัญหาแอปที่ใช้งานแนวตั้งได้ดีครับ อย่างเช่น Tiktok ที่แน่นอนว่าออกแบบมาให้แสดงผลแนวตั้งเป็นหลัก การดูบนจอนอกจะแสดงผลได้ไม่เต็ม แต่ถ้าเราเปิดโหมดนี้ ตัวจอจะถูกย่อลงเป็นแนวตั้งและเลือกตำแหน่งของการแสดงผลได้ (ซึ่งซ้ายสุดดูจะลงตัวสุด) แต่ส่วนที่เหลือก็จะเป็นแถบดำไปแทนครับ

ทั้งนี้ทั้งนั้น ความสะดวกคือเราสามารถกดสลับโหมดการแสดงผลได้ทันที ด้วยไอคอนเล็ก ๆ ด้านล่าง ไม่ต้องเข้าไปตั้งค่าให้วุ่นวาย เพราะฉะนั้น ถ้าเปิดแอปไหนมาแล้วไม่เข้ากับโหมดนั้น ๆ ก็จิ้มสลับเอาได้ครับ

Gemini สั่งงานได้ง่าย จากหน้าจอนอก!
ฟีเจอร์ผู้ช่วย Galaxy AI หรือ Gemini ก็สามารถเรียกสั่งงานได้ง่าย ๆ ผ่านหน้าจอนอกนี้เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นอยู่ ๆ อยากรู้อะไร อยากได้ข้อมูลแบบทันที ไม่สะดวกกางจอออกมา ก็แค่กดปุ่ม Power ค้างไว้ คุยกับ Gemini ได้ทัน จอใหญ่ขนาดนี้แสดงผลการค้นหาได้เต็มตา จบได้โดยไม่ต้องกางจอเลย

หรือความสามารถใหม่ของ Gemini Live ที่เราสามารถเปิดกล้องและสอบถาม ขอคำแนะนำ ก็ใช้หน้าจอนอกแสดงผลภาพจากกล้องและพูดคุยกันได้เลยทันที สะดวกนะเอาจริง ๆ

Flip แรกที่ใช้ Android 16 พร้อม Galaxy AI มาให้ครบ!
ต่อกันในเรื่องซอฟต์แวร์โดยรวมบ้าง Galaxy Z Flip7 มาพร้อม One UI 8.0 ที่ครอบทับบน Android 16 ตั้งแต่แกะกล่องเลย ล่าสุดของล่าสุดจริง ๆ ในเรื่อง UI ไม่ได้ปรับมากมายนัก แต่เน้นปรับปรุงในเรื่องความเสถียรและความลื่นไหลแทน ซึ่งทำได้ดีมาก ทั้งการทำงานของหน้าจอนอกและจอในครับ

ด้านฟีเจอร์ Galaxy AI ก็มีติดมาให้ใช้งานครบถ้วน อะไรที่เคยว้าวก็ยังอยู่หมด ผู้ช่วยการโทร, ผู้ช่วยการเขียน, แปลภาษากับ Interpreter, สรุปความในหน้าเว็บ, ตกแต่งภาพ หรือ ช่วยแต่งประโยค ต่อยอดมาจากตอน S25 Series อีกทีครับ

Galaxy AI ลบคนเนียน ลบวัตถุต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี หรือที่เคยท้าทายระบบลบมือออกจากหน้า ลบของที่ถืออยู่ บน One UI 8 ก็ทำให้ว้าวได้เหมือนเดิม แถมดูเก่งขึ้นกว่าเดิมด้วยนะ

Audio Eraser ช่วยลดเสียงรบกวนของวิดีโอ อยากให้เสียงพูดชัด หรือเก็บไว้แค่เฉพาะเสียงเพลง ตรงนี้ Galaxy AI จัดให้หมด ช่วยในการปรับแต่งเสียงของวิดีโอได้อีกเยอะเลยจริง ๆ ครับ

หรือสำหรับสายพิมพ์ สายแชท Writing Assist ก็จะมาจัดการรูปแบบประโยคใหม่ให้ใช้งานจริง ช่วยสร้างประโยคจากคำไม่กี่คำได้เลย กับ 4 รูปแบบคือ มาตรฐาน, อีเมล, โซเชี่ยลมีเดีย, คอมเมนต์ และเรายังสามารถเลือกรูปแบบของประโยคได้อีกว่าจะเป็น ทางการ, สบาย ๆ หรือสุภาพอีกต่างหาก สะดวกสำหรับงานเขียนทุกรูปแบบจริง ๆ เลยล่ะอันนี้

กล้องหลังชุดเดิมแต่มี ProVisual AI Engine ใหม่นะ
มาต่อในเรื่องกล้องกันเลยครับ ด้านสเปคฮาร์ดแวร์ของ Galaxy Z Flip7 ยังไม่ได้อัปเกรดขึ้นจาก Z Flip6 เดิมมากนัก ยังคงได้กล้องหลักคู่ชุดเดิม มีสเปคคร่าว ๆ ดังนี้
- 50MP กล้องหลัก f/1.8, Dual Pixel AF, OIS
- 12MP กล้อง Ultra Wide f/2.2 มุมกว้าง 123°

อย่างที่เห็นเลยครับ กล้องคู่ที่ให้มาก็ได้สเปคกลาง ๆ แต่เราว่าเพียงพอต่อการใช้งานในกลุ่ม Flip ที่ไม่ได้เน้นซูมจัด ๆ ความละเอียดสูง ๆ อยู่แล้ว มีมุมกว้าง 123⁰ มาตอบโจทย์การเซลฟี่หรือวางถ่ายได้ กล้องหลักก็ซูมสัก 2x – 4x ได้เพราะเซ็นเซอร์ใหญ่พอ

แต่เรื่องซอฟต์แวร์ Galaxy Z Flip7 ก็ได้ยกเครื่องใหม่ด้วย ProVisual AI Engine ที่เข้ามาจัดการภาพโดยรวมให้คมชัดขึ้น ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้นั้นน่าพอใจยิ่งขึ้น ก็ถือเป็นการอัปเกรดใหม่ที่แม้จะไม่เปลี่ยนฮาร์ดแวร์แบบจริงจัง แต่ได้ความรู้สึกใหม่ขึ้นมาอีกหน่อยล่ะครับ

เท่าที่ลองใช้งานจริง ก็รู้สึกว่าลงตัวขึ้น โทนภาพมีความสมจริงตามสไตล์ของ Samsung ในยุคหลัง ๆ ถ่ายวิวได้ความสมจริงและสีสันที่คล้ายตาเห็น ถ่ายคนก็มีสกินโทนที่เนียนเป็นธรรมชาติมากขึ้น ไม่จัดจ้านจนเกินไป ระยะภาพถือว่าครบถ้วน ได้ตั้งแต่ 0.6x – 2x แบบพอดิบพอดี ยังคงเป็นกล้องที่ไว้ใจได้ แม้ตัวฮาร์ดแวร์จะไม่ได้เปลี่ยนแบบเว่อวังอะไรก็ตามเนาะ




























เซลฟี่เอง ตั้งถ่าย ดีขึ้นมากกับจอ FlexWindow ใหม่!
และความดีงามที่เห็นได้ชัดอีกอย่างของ Galaxy Z Flip7 เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน (หรือ Z Flip7 FE) ก็คือ การได้หน้าจอนอกที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมอย่างชัดเจน ทำให้เวลาเราจะเซลฟี่ด้วยกล้องหลังแบบพับจอ ก็จะเห็นตัวอย่างภาพที่เต็มตากว่ามาก ทั้งภาพนิ่งและวิดีโอ สาย Vlog ที่ตั้งถ่ายหรือเปิดจอให้อีกฝั่งเห็นตัวอย่าง ถูกใจแน่นอน!


เซลฟี่ด้วยกล้องหน้า 10MP ก็ใช้ได้
นอกจากสุดเด่นเรื่องการเซลฟี่จากกล้องหลังจะเป็นจุดขายของตระกูล Flip แล้ว การเซลฟี่ด้วยกล้องหน้าก็ไม่ทำให้ผิดหวังเช่นกัน ได้กล้องหน้า 10MP ที่คุณภาพสวยเพียงพอ สีสันและความเนียนสไตล์เกาหลี





วิดีโอ 4K/60fps ทั้งกล้องหน้าและหลัง พร้อมถ่าย Log ได้ด้วย
ส่วนวิดีโอ Galaxy Z Flip7 ก็ไม่ทำให้ผิดหวังสามารถถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงสุดถึง UHD/60fps หรือ 4K/60fps ทั้งกล้องหน้า-หลังเลยทีเดียว แต่อันนี้เฉพาะกับอัตราส่วนแบบ 16:9 นะครับ ถ้าเราเปิดกล้องตอนพับเลย อัตราส่วนภาพจะเป็นแบบ Full และจำกัดความละเอียดไว้แค่ FHD/30fps เท่านั้น แก้โดยการปรับอัตราส่วนเอาเนาะ จะได้สูงสุดที่ UHD/60fps แล้ว

หรือสายถ่ายวิดีโอที่จริงจังมากขึ้น บน Galaxy Z Flip7 นี้ก็ยังมาพร้อมฟีเจอร์การถ่ายไฟล์ Log แบบเดียวกับ S25 Series ด้วยนะ ถ่ายมาแล้วเกรดสีได้แบบมืออาชีพมากขึ้น ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ Z Flip รอบนี้

โดยรวมในเรื่องคุณภาพกล้องของ Galaxy Z Flip7 ก็ถือว่าทำได้ดีเลยครับ แม้จะไม่ได้ยกเครื่องอะไรมากนัก แต่การมี ProVisual AI Engine ใหม่ที่เข้ามาประมวลผลให้โทนดูลงตัวขึ้น 2 กล้องหลังที่ใช้งานได้จริง มุมกว้าง กับระยะ 1x – 2x เอาอยู่ เพียงพอสำหรับสาย Flip ที่ไม่ได้เน้นเด่นไปในการถ่ายภาพบ้าพลัง แค่เซลฟี่สวย เก็บมุมมองได้แตกต่าง ในขนาดที่กะทัดรัด ได้หน้าจอนอกที่ใหญ่มากขึ้นมามอบประสบการณ์ใหม่ ๆ เท่านี้ก็ถือว่าครบเครื่องแล้วล่ะครับ

อัปเกรดสเปคใหม่ด้วยชิป Exynos ครั้งแรกของ Z Flip!
ด้านสเปคภายใน Galaxy Z Flip7 ก็อัปเกรดชิปเซ็ตใหม่เป็น Exynos 2500 แบบ 10-Core ขนาด 3nm ถือเป็นครั้งแรกของตระกูล Flip ที่เปลี่ยนมาใช้ชิปจากทาง Samsung เองเลย ซึ่งเคลมว่าประสิทธิภาพสูงขึ้นอีก 9% สำหรับ CPU, GPU แรงขึ้น 23% และ NPU (การประมวลผล AI) ไวขึ้น 22% เลยล่ะครับ

เพื่อให้เห็นภาพขึ้นมาหน่อย ถึงประสิทธิภาพโดยรวมของ Galaxy Z Flip7 เราลองทดสอบกับแอป AnTuTu Benckmark v10 กับ Geekbench 6 ให้ดูตัวเลขกันหน่อย คะแนนของ AnTuTu ออกมาที่ 1605836 แต้ม ถือว่าไม่ธรรมดานะนั่น

ส่วนคะแนนของฝั่ง Geekbench 6 ได้ Single-Core ออกมาที่ 2109 และ Multi-Core ที่ 7664 ก็ตรงตามที่ Samsung เคลมไว้ล่ะครับ คะแนนชุดนี้

เล่นเกมได้ดีเลย แต่…
ด้านการเล่นเกม Galaxy Z Flip7 ที่ได้คะแนนสูงระดับนี้ก็ไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่ เพราะจัดอยู่ในระดับเรือธงแล้วล่ะครับ เราเลยลองทดสอบกับ 2 เกมใหญ่ ๆ อย่าง Asphalt 9 กับ Call of Duty Mobile ดูหน่อย ซึ่งผลก็ออกมาดังนี้เลย

เล่น Asphalt 9 บน Galaxy Z Flip7
เริ่มที่เกมแข่งรถที่อยู่คู่รีวิวเรามานาน เวอร์ชั่นใหม่ ๆ มีการอัปเดตให้เขากับชิปเซ็ตที่แรงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งบน Z Flip7 ก็ถือว่าปรับการตั้งค่าได้เยอะทีเดียว คุณภาพกราฟิกไปได้สูงสุดหมด ส่วนเฟรมเรตจะยังเลือกได้สูงสุดแค่ 80fps ไม่ทะลุ 90fps หรือ 120fps เนาะ เข้าใจว่าตรงนี้น่าจะเป็นเพราะชิป Exynos 2500 ยังใหม่มาก ๆ ตัวเกมเลยยังอัปเดตได้ไม่ทันนัก เพราะ Z Flip7 เป็นรุ่นแรกที่ใช้อะเนอะ

ส่วนในการเล่นเกมจริง ๆ ก็ไม่ได้ติดขัดอะไรครับ เพียงพอมาก ๆ แล้ว ได้ภาพสวยขั้นสุด ในเฟรมเรตที่ลื่น ๆ อาจจะไม่สูงสุดแบบที่หน้าจอรับได้ แต่ก็เล่นได้สนุกสะใจแล้วครับ แถมพออัตราส่วนหน้าจอเป็นแบบใหม่ 21:9 ก็ให้ความพอดีขึ้น รู้สึกได้อยู่นะ

เล่น Call of Duty Mobile บน Galaxy Z Flip7
ต่อมากับเกมยิงสเปคสูงอย่าง Call of Duty บน Galaxy Z Flip7 ก็ยังมีข้อจำกัดในเรื่องการตั้งค่าอยู่บ้าง เพราะสามารถปรับได้สูฃสุดที่ Very High + Max เท่านั้น ตัวเฟรมเรตเลือกไปที่ Ultra ระดับ 90fps – 120fps ไม่ได้เนาะ คงเพราะความใหม่ของชิปอย่างที่บอกนั่นแหละ

แต่เท่าที่เราลองเล่นจริง ๆ ก็พบว่าด้วยการตั้งค่านี้ ก็ถือว่ายอดเยี่ยมแล้ว เพราะได้ภาพสวยที่สุดในแบบที่ทำได้ บนเฟรมเรต 60fps แบบนิ่ง ๆ เลย

แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ขึ้น เยอะที่สุดใน Z Flip
เรื่องแบตเตอรี่ Galaxy Z Flip7 ได้อัปเกรดแบตฯขึ้นมาเช่นกัน ได้ความจุใหม่เป็น 4300mAh มากกว่ารุ่นก่อนถึง 300mAh ใหญ่ที่สุดของ Z Flip เรียบร้อย และเท่าที่เราลองใช้งานจริง ถือว่าได้แบตเตอรี่อึดขึ้นอย่างชัดเจน เราลองใช้งานดึงออกจากที่ชาร์จตอน 6.30 น. ยิงยาวถึง 23.30 น.ยังเหลือแบตฯราว 26% ด้วย Screen on time ราว 4.47 ชม.เอาอยู่สบาย ๆ ครับ

แต่ถ้ามีการเล่นเกม หรือถ่ายรูปแบบจัดเต็มร่วมด้วย ก็อาจจะต้องเผื่อการชาร์จไว้หน่อยเนาะ ซึ่งระบบชาร์จของ Galaxy Z Flip7 นั้นยังให้มาที่ 25W เท่าเดิม อาจจะไม่ได้เร็วปรู๊ดปร๊าดมากนัก แต่ด้วยความจุที่ไม่ได้มากมาย เท่านี้ก็ถือว่าไม่ช้าครับ ชาร์จจาก 0% จนเต็มจริง ๆ ก็ประมาณชม.กว่า ๆ ได้

โดยรวมในเรื่องประสิทธิภาพของ Galaxy Z Flip7 ก็ถือว่าเยี่ยมครับ แม้ตัวเครื่องจะไม่ได้เน้นเรื่องนี้มากนัก เพราะเป็นสายแฟชั่นโฟน เน้นความพกพา และดีไซน์โดดเด่น แต่ทั้งอายุแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานขึ้นแบบสังเกตได้ ประสิทธิภาพการเล่นเกมที่น่าพอใจ ก็ทำให้เรารู้สึกถึงการอัปเกรดที่เข้าถึงได้อยู่ไม่น้อย ส่วนเรื่องเกม ก็เชื่อว่าอนาคตคงมีการอัปเดตในแต่ละแอปให้เข้าที่กว่านี่ได้แบบไม่ลำบากนักน่ะเนาะ

ราคาเปิดตัว Galaxy Z Flip7 | Z Flip7 FE
ปิดท้ายที่ราคาเนาะ Galaxy Z Flip7 เปิดตัวมาด้วยกัน 2 ความจุ 12GB+256GB และ 12GB+512GB ส่วน Galaxy Z flip7 FE จะมีความจุ 8GB+128GB กับ 8GB+256GB แต่ละรุ่นมีราคาค่าตัวตามนี้เลยครับ
- Galaxy Z Flip7 รุ่น 12GB+256GB = 40,900 บาท
- Galaxy Z Flip7 รุ่น 12GB+512GB = 46,900 บาท

- Galaxy Z Flip7 FE รุ่น 8GB+128GB = 32,900 บาท
- Galaxy Z Flip7 FE รุ่น 8GB+256GB = 35,900 บาท

สรุปแล้ว “นี่คือสมาร์ทโฟนพับเล็ก…ที่จอใหญ่ได้ถูกใจเราจริง ๆ”
สรุปแล้ว Galaxy Z Flip7 ก็คือสมาร์ทโฟนพับเล็กที่อัปเกรดได้ถูกใจเราอีกรุ่น ด้วยดีไซน์หน้าจอนอกแบบใหม่หมด FlexWindow ใหญ่เต็มตา มอบประสบการณ์ความเต็มอิ่มได้มากกว่าที่เคย ไม่ว่าจะใช้เพื่อเซลฟี่ตัวเอง ใช้เพื่อเล่นแอปแบบด่วน ๆ โดยไม่กางจอ ก็ดีขึ้นกว่าเดิมมาก หรือถ้าได้กางจอออกมาก็ได้จอในที่ใหญ่ขึ้นแบบจริงจัง ไม่ใช่แค่ตัวเลขขนาด แต่อัตราส่วนใหม่ก็ทำให้น่าใช้ขึ้นมาก ด้านสเปคต่าง ๆ อาจจะไม่ได้เพิ่มขึ้นจนหวือหวา กล้องชุดเดิม ความจุเดิม แบตฯอึดขึ้นหน่อย แถมยังเปลี่ยนมาใช้ Exynos แทนที่ Snapdragon อีก แต่ถ้ามองในภาพรวม เราก็ยังคิดว่าปีนี้เป็นการอัปเกรดที่เพิ่งพอสำหรับแฟน ๆ Z Flip แล้ว แค่จอนอกใหม่อย่างเดียวก็ฟินสุด ๆ ละ

ส่วน Galaxy Z Flip7 FE เราคิดว่าเป็นตัวเลือกใหม่ สำหรับคนที่อยากลองรุ่นพับเล็กน่ะนะ ด้วยงบที่ถูกกว่าหลายพันบาท แต่ถ้าถามเรา กัดฟันอีกนิดแล้วข้ามไปที่ Galaxy Z Flip7 เลย คุณจะแฮปปี้กว่ามาก ๆ ครับ!
