Wearable
Fitbit เปิดตัว 3 รุ่นใหม่ Fitbit Sense, Versa 3 และ Inspire 2 เน้นสุขภาพดีขึ้น และมีเซ็นเซอร์ EDA วัดความเครียดรุ่นแรกของโลก
Fitbit เปิดตัว Smartwatch รุ่นใหม่ถึง 3 รุ่น ได้แก่ Fitbit Sense, Fitbit Versa 3 และ Fitbit Inspire 2 โดยเน้นการใช้งานด้านสุขภาพเช่นเดิมแต่จัดเต็มขึ้น
Fitbit Sense
เริ่มด้วย Fitbit Sense ที่เป็นซีรี่ย์ใหม่ และเป็น Smartwatch แบบขั้นสูงสุดของแบรนด์เลยทีเดียว โดยมาพร้อมกับเซ็นเซอร์การวัดไฟฟ้าบนผิวหนัง (Electro Dermal Activity : EDA) เป็นรุ่นแรกของโลกเพื่อช่วยในเรื่องการวัดความเครียดได้แม่นยำขึ้น ทั้งยังช่วยให้เราเข้าใจการตอบสนองต่อความเครียดในร่างกายของเราได้ดีขึ้น ช่วยให้ผู้ใช้งานได้จัดการความเครียดอย่างถูกต้องและถูกวิธีผ่านแอปพลิเคชั่น EDA Scan
ทั้งนี้ Fitbit Sense ยังมีเซ็นเซอร์วัดคลื่นไฟฟ้าของหัวใจ (ECG) และยังมีเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิที่ข้อมืออีกด้วย โดยทั้งหมดสามารถทำงานได้ยาวนานถึง 6 วันขึ้นไป ที่สำคัญยังให้เราได้ใช้งาน Fitbit Premium นานถึง 6 เดือนแบบฟรีๆ เพื่อติดตามประวัติด้านสุขภาพที่บันทึกไว้ได้ทั้งหมด
Fitbit Versa 3
ต่อมาอีก 1 รุ่นใหม่อย่าง Fitbit Versa 3 ที่เพิ่มฟีเจอร์ด้านสุขภาพ, ฟิตเนส และความสะดวกสบายมากขึ้น เน้นการใช้งานภายในครอบครัวด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น On-device GPS, ความเข้มข้นในการออกกำลังกาย, ปรับปรุงเทคโนโลยี PurePulse 2.0 และ Active Zone Minutes เพื่อให้ง่ายต่อการที่เราออกกำลังกายได้ตามเป้าหมายดีขึ้น
Fitbit Versa 3 ยังมีลำโพงและไมโครโฟนในตัวเพื่อให้เราได้ใช้ในการรับสายและคุยโทรศัพท์ได้ทันที, เพิ่ม-ลดเสียง และส่ง voicemail ได้แบบง่ายๆ แถมยังมี AI อย่าง Google Assistant และ Amazon Alexa มาให้เพื่อให้สั่งการด้วยเสียงได้อย่างอัจฉริยะ ไม่ว่าจะเป็นตั้งการเตือนในการออกกำลังกาย, การฝึกซ้อมต่างๆ หรือการนอน, บอกสภาพอากาศ และการควบคุมอุปกรณ์ภายในบ้านที่เป็น Smart Home ได้อีกด้วย
นอกจากนี้ ยังเป็นครั้งแรกที่ Fitbit Versa 3 และ Fitbit Sense ได้ใช้แม่เหล็กการชาร์จตัวเดียวกันด้วย โดยสามารถใช้งานได้ยาวนานสูงสุดกว่า 6 วัน และยังรองรับระบบชาร์จไว เพียง 12 นาทีก็ใช้งานต่อได้ทั้งวัน
Fitbit Inspire 2
และรุ่นสุดท้ายอย่าง Fitbit Inspire 2 ที่เป็น Smartwatch ที่มีสไตล์ในราคาสุดประหยัดของแบรนด์อีกด้วย โดยเพิ่มฟีเจอร์ขั้นสูงเข้ามา ไม่ว่าจะเป็น Active Zone Minutes, ดีไซน์สุดบาง, หน้าจอมีความสว่างและสดใสกว่าเดิม และมีแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ยาวนานที่สุดของ Fitbit ถึง 10 วัน

Product render of Fitbit Inspire 2, 3QTR view, in Black.
ภายใน Fitbit Inspire 2 ยังรองรับการตรวจจับการออกกำลังกาย, การวัดอัตราการเต้นของหัวใจ 24 ชั่วโมงแบบเรียลไทม์, การตรวจจับด้านสุขภาพ และการคุมคุมอาหารกับน้ำหนักตัวผู้ใช้งานด้วย

Lifestyle photo for Fitbit Inspire 2.
ราคาไทยอย่างเป็นทางการของแต่ละรุ่นมีดังนี้
- Fitbit Sense : 11,990 บาท ในสีดำ และสีขาวตัดด้วยกรอบสแตนเลสสีทองอ่อน
- Fitbit Versa 3 : 9,190 บาท ด้วยสีดำทั้งตัวเรือน, สีชมพู และสีน้ำเงินเข้ม พร้อมจำหน่ายอุปกรณ์เสริมสำหรับ Fitbit Sense และ Fitbit Versa 3 หลายรูปแบบ รวมถึงสายถักจากไนลอนรีไซเคิล (REPREVE) ในลายพรางสีเทาเข้ม และอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีสายแบบถักสานจาก Pendleton ในสีลายพรางทหาร สีดำ, สีชมพู และสีรุ้ง และ Victor Glemaud สำหรับสายถักเชฟรอน โดยราคาเริ่มต้นที่ 1,190 บาท
- Fitbit Inspire 2 : 3,990 บาท ในสีดำ, สีขาว และชมพูแดง พร้อมจำหน่ายอุปกรณ์เสริม อาทิ สายหนังพรีเมียม Horween ในสีมิดไนท์บลู สีดำ สายตาข่ายถักสายซิลิโคนพิมพ์ลาย สายซิลิโคนสีดำแบบคลาสสิค สีขาว และสีชมพูแดงและคลิปรัดสายนาฬิกาสีดำ เริ่มต้นที่ 990 บาท
นอกจากนี้ ยังมี Fitbit Premium เปิดให้บริการโดยราคาอยู่ที่ 300 บาทต่อเดือน หรือ 2,500 บาทต่อปี สำหรับผู้ใช้ Fitbit Premium นอกจากนี้ยังสามารถใช้บริการได้ในประเทศสิงคโปร์ สามารถเยี่ยมชมได้ผ่าน Fitbit app หรือ Fitbit.com
Featured
5 เรื่องลับที่คุณอาจยังไม่เคยรู้ของ “HUAWEI FreeBuds 4i” ทำไมจึงได้ชื่อว่าเป็นหูฟัง TWS คุณภาพจัดเต็มในราคาโดนใจที่ใครก็เป็นเจ้าของได้

ระยะหลังมานี้เทรนด์การใช้หูฟังแบบ “TWS” หรือ “True Wireless Stereo” เริ่มฮิตติดตลาดมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะความเบาสบาย สวมใส่ง่าย และพกพาสะดวก ซึ่งหูฟังมีสายแบบเดิมๆ ทำไม่ได้นั่นเอง นอกจากนี้เทคโนโลยีที่พ่วงมากับหูฟัง TWS ยังได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ทั้งในด้านคุณภาพเสียง ฟีเจอร์การใช้คุยโทรศัพท์ รวมไปถึงเทคโนโลยีการตัดเสียงรบกวนที่มีผลอย่างมากต่อประสบการณ์การฟังเพลงที่ลื่นไหลสบายอารมณ์ จึงเป็นไปได้ว่าหูฟังที่เพิ่งซื้อมาใช้เมื่อปีสองปีที่แล้วก็อาจเริ่มตกรุ่นจนโดนทิ้งห่างในด้านเทคโนโลยีและคุณภาพเสียงแบบต่างกันชนิดหน้ามือเป็นหลังมือซะแล้ว
หากคุณอยู่ในอารมณ์ที่กำลังอยากถอยหูฟัง TWS ตัวใหม่ เพื่อประสบการณ์การฟังเพลงที่ดีขึ้น (หรืออาจเพราะหูฟังที่ใช้อยู่กำลังจะพังมิพังแหล่) แต่ในขณะเดียวกันก็อยากได้หูฟังที่ดีในงบประมาณที่คุ้มค่า ลองมาทำความรู้จักกับหูฟัง “HUAWEI FreeBuds 4i” ที่เพิ่งเปิดตัวไปสดๆ ร้อนๆ กันดูหน่อยไหม เพราะนอกจากเทคโนโลยีตัดเสียงรบกวนแบบ Active Noise Cancellation คุณภาพเสียงที่ชัดใส และแบตเตอรี่สุดอึดแล้ว หูฟังน้องใหม่ตัวนี้ยังอัดแน่นด้วยคุณสมบัติลับๆ ที่หลายคนอาจยังไม่เคยรู้ แถมวางจำหน่ายในราคาไม่ถึงสามพันด้วยซ้ำ

1. แค่เปิดฝาเคส ก็ปรากฎหน้าต่าง Pop-up ตรวจจับการเชื่อมต่ออัตโนมัติ
เอ็กซ์คลูซีฟสำหรับผู้ใช้อีโคซิสเต็มของหัวเว่ย ใครที่ใช้สมาร์ทโฟนหรือสมาร์ทดีไวซ์ของหัวเว่ยที่มี EMUI 10.0 ขึ้นไป จะได้รับความสะดวกสบายเป็นพิเศษ เพราะแค่เปิดฝาเคส HUAWEI FreeBuds 4i สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตของคุณก็จะตรวจจับได้อัตโนมัติว่ามีเจ้าหูฟังในอีโคซิสเต็มเดียวกันนี้อยู่ใกล้ๆ พร้อมปรากฎหน้าจอ Pop-up ขึ้นมาแจ้งเตือนในทันใดว่าจะเชื่อมต่อหูฟังนี้หรือไม่ และหลังจากการเชื่อมต่อครั้งแรกแล้ว ต่อไปเมื่อหยิบหูฟัง HUAWEI FreeBuds 4i มาสวม หูฟังก็จะเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตเครื่องที่เคยจับคู่กันไว้ได้แบบอัตโนมัติ

2. อิสระที่ควบคุมได้เพียงปลายนิ้ว
HUAWEI FreeBuds 4i ควบคุมผ่านระบบสัมผัสด้วยปลายนิ้วสัมผัส โดยหูฟังทั้งสองข้างมาพร้อมเซ็นเซอร์ที่ตอบสนองอย่างแม่นยำผ่านอัลกอริธึมอัจฉริยะ ซึ่งค่ามาตรฐานที่มาพร้อมกับตัวหูฟังคือ (1) แตะสองครั้งเพื่อเล่นเพลง / หยุดเพลงชั่วคราว (2) แตะสองครั้งเพื่อรับสาย / วางสาย (3) แตะค้างเพื่อเปิด / ปิดโหมด ANC หรือ Awareness แต่สำหรับใครที่ใช้สมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการ Android จะสามารถตั้งค่าการควบคุมระบบสัมผัสเหล่านี้ได้ใหม่ผ่านแอปพลิเคชัน HUAWEI AI Life โดยสามารถเลือกตั้งค่าให้ Personalized ได้อย่างอิสระตามความเคยชินและความต้องการของผู้ใช้
3. ความหน่วงต่ำ เติมเต็มอรรถรสในการเล่นเกมหรือชมคอนเทนต์วิดีโอแบบเรียลไทม์
HUAWEI FreeBuds 4i รองรับการเชื่อมต่อผ่านเทคโนโลยีบลูทูธ 5.2 และใช้อัลกอริทึมที่ล้ำสมัย ค่าความหน่วงต่ำ ซึ่งจะทำให้ให้ภาพและเสียงสอดคล้องกันโดยเกิดความคลาดเคลื่อนน้อยที่สุด เพื่อให้ได้อรรถรสเต็มอิ่มไม่ว่าจะเล่นเกมออนไลน์ ชมภาพยนตร์หรือซีรีส์สดๆ ผ่านแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งต่างๆ หรือชมกีฬา โดยผู้ใช้จะสามารถสัมผัสประสบการณ์ความหน่วงต่ำได้ดีที่สุดเมื่อเชื่อมต่อกับ
สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตของหัวเว่ยที่ใช้ EMUI 11.0 ขึ้นไป

4. ปรับจูนเสียงมาให้เหมาะกับการฟังเพลงป๊อปเมนสตรีมโดยเฉพาะ
นอกจากจะมีไดนามิกไดรเวอร์ขนาด 10 มิลลิเมตรมาการันตีคุณภาพเสียงแล้ว HUAWEI FreeBuds 4i ยังได้รับการปรับจูนเสียงให้เกิดความสมดุลกันอย่างลงตัวในทุกย่านความถี่ ทั้งสูง กลาง และต่ำ มอบประสบการณ์เสียงคมชัดไม่ว่าจะใช้ฟัง
คอนเทนต์เสียงแบบใด และยังเอาใจคอเพลงป๊อปทั่วทุกมุมโลก ด้วยการปรับจูนให้ความถี่ของเสียงดนตรีและเสียงร้องสมดุลกันอย่างลงตัว เหมาะกับการฟังเพลงป๊อปใสๆ โดยเฉพาะ

5. สวมใส่สบายหู เพราะมาพร้อมปลอกซิลิโคน 3 ขนาดในกล่อง
HUAWEI FreeBuds 4i มีขนาดเล็กกะทัดรัดและน้ำหนักเบา (หูฟังหนักเพียง 11 กรัม เคสชาร์จหนักแค่ 36.5 กรัม) หยิบจับถนัดมือ แถมยังสวมใส่สบายตามหลักสรีรศาสตร์ เพราะมีปลอกซิลิโคนมาให้เลือกใส่ได้ถึง 3 ขนาด เพื่อให้เหมาะกับลักษณะใบหูของแต่ละคนมากที่สุด และสามารถสวมใส่ได้ตลอดทั้งวันโดยไม่รู้สึกอึดอัด เสมือนว่าเป็นเครื่องประดับอีกชิ้นก็ยังได้ สรุปสั้นๆ ได้ว่า HUAWEI FreeBuds 4i สามารถมอบทั้งคุณภาพเสียงเพลงที่ใสชัดและประสบการณ์การฟังเพลงที่กระชับสบายหูไปพร้อมกัน
นอกจากคุณสมบัติลับๆ ที่กล่าวมาข้างต้น HUAWEI FreeBuds 4i ยังรองรับ Fast Charging ที่ทำให้ผู้ใช้งานสามารถชาร์จหูฟังเพียง 10 นาที เพื่อการใช้งานต่อเนื่องยาวนานถึง 4 ชั่วโมง แบตเตอรี่ในหูฟังความจุ 55 mAh และแบตเตอรี่ในเคสชาร์จความจุ 215 mAh ทำให้สามารถใช้งานได้นานสูงสุด 22 ชั่วโมงเมื่อใช้ร่วมกับเคสชาร์จ เห็นคุณสมบัติเพียบพร้อมขนาดนี้ แต่ HUAWEI FreeBuds 4i กลับมาในราคาค่าตัวแค่ 2,799 บาทเท่านั้น บอกไปใครจะเชื่อ!
หูฟัง HUAWEI FreeBuds 4i สุดคุ้มตัวนี้มีให้เลือกทั้งหมด 3 สี ได้แก่ สีขาว Ceramic White, สีดำ Carbon Black และสีแดง Red Edition สำหรับใครที่คิดว่านี่คือหูฟังที่ใช่ในราคาที่โดน สามารถตามหาหูฟังตัวนี้ได้ไม่ยาก ทั้งที่หน้าร้าน HUAWEI Experience Store และร้านค้าตัวแทนจำหน่ายที่ร่วมรายการ รวมถึงในช่องทางออนไลน์อย่าง HUAWEI Online Store, Shopee, Lazada และ JD Central ใครอยากอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมก่อนตัดสินใจซื้อสามารถเข้าไปดูกันได้ที่นี่ หรือเลือกชมผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของหัวเว่ยที่ HUAWEI Online Store เพื่อเอาไว้ใช้คู่กันกับหูฟังตัวใหม่ก็ได้นะ
News
เผยภาพเครื่องจริง OPPO Enco Buds หูฟัง TWS รุ่นใหม่ ในดีไซน์คุ้นตา
OPPO Enco Buds หลุดภาพเครื่องจริงออกมาชัด ๆ แล้วครับ โดยรุ่นนี้จะมีดีไซน์คุ้นตาคล้าย OPPO Enco W11 ที่เคยเปิดตัวไปเมื่อปีที่แล้ว ตัวเคสใช้ทรงเม็ดยา และหูฟังเป็นแบบ In-Ear ขนาดเล็กครับ

ซึ่งรุ่น OPPO Enco Buds นี้คาดว่าจะเป็นรุ่นต่อยอดของ OPPO Enco W11 นั่นเอง อัปเกรดในเรื่องคุณภาพเสียงและการเชื่อมต่อเปลี่ยนมาใช้ Bluetooth 5.2 (จากเดิม 5.0) ครับ


คาดว่า OPPO Enco Buds จะเปิดตัวและวางจำหน่ายในช่วงปลายเดือนนี้ครับผม
ที่มา : Sparrowsnews
News
ลือ ! HUAWEI Watch 3 จะมาพร้อม HarmonyOS และมีรุ่น eSIM ด้วย
HUAWEI Watch 2 เปิดตัวไปเมื่อปี 2018 มาพร้อมระบบ WearOS ก่อนที่จะเปลี่ยนมาใช้ระบบปฏิบัติการของตัวเองในรุ่น HUAWEI Watch GT ภายหลัง ล่าสุดมีข้อมูลว่าบน HUAWEI Watch 3 นั้นจะมีการเปลี่ยน OS มาใช้เป็น HarmonyOS แทน

ซึ่งมีภาพ UI ของ HarmonyOS เวอร์ชั่น Watch 3 ออกมาแล้วด้วย โดยจะปรับเปลี่ยนหน้าตาครั้งใหญ่ จากเดิมที่เราจะเห็นการเรียงไอคอนแอปแบบแนวตั้ง ก็ใช้เป็นวงกลมแทน เพิ่มความสวยงามมากยิ่งขึ้น
รองรับการติดตั้งแอป 3rd Party และจะมีรุ่นที่รองรับ eSIM ด้วยครับ
สำหรับ HUAWEI Watch 3 คาดว่าจะเปิดตัวในเดือนพฤษภาคมนี้พร้อมกับ HUAWEI P50 Series ครับ
ที่มา : Sparrowsnews
-
Apple News2 สัปดาห์ ago
ราคาล่าสุด iPhone 12 เครื่องเปล่า ไม่ติดโปร เดือนเมษายน 2021
-
Android News7 วัน ago
เปิดตัว Sony Xperia 1 III และ 5 III จอ 4K 120Hz พร้อมชิปเรือธง Snapdragon 888
-
Android News2 สัปดาห์ ago
แกะกล่องพรีวิว OPPO Reno5 Marvel Edition รุ่นพิเศษสุดเท่ ที่แฟน ๆ ต้องมี !
-
Android News2 สัปดาห์ ago
หลุดสเปคเต็ม Galaxy A82 ใช้ Snapdragon 855+, จอ 120Hz พร้อมกล้อง 64MP
-
Android Tips2 สัปดาห์ ago
วิธีตรวจสอบเบื้องต้นว่า Facebook ของเราเป็นหนึ่งในบัญชีข้อมูลหลุดหรือไม่!
-
Android News2 สัปดาห์ ago
10 อันดับสมาร์ทโฟนที่แรงที่สุดประจำเดือนมี.ค.2021 แชมป์ใหม่เป็นของ Black Shark 4 Pro ตามด้วย OPPO Find X3 Pro !
-
Android News1 สัปดาห์ ago
ชมคอนเซ็ปท์ Galaxy S22 x Olympus สมาร์ทโฟนกล้องเทพของ Samsung อาจมีหน้าตาแบบนี้
-
Android News2 สัปดาห์ ago
Samsung เปิดตัว iTest เว็บไซต์ที่ให้คุณได้สัมผัสประสบการณ์ Galaxy บน iPhone
You must be logged in to post a comment Login