เรื่องราวสุดดราม่าเริ่มต้นขึ้นเมื่อประธานาธิบดีทรัมป์ได้ขู่จะเก็บภาษีเพิ่ม 25% สำหรับ iPhone โดยเฉพาะ ซึ่งจะส่งผลให้ราคา iPhone รุ่นท็อปพุ่งสูงทะลุ 4,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ แต่แล้วศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ก็ได้ตัดสินให้คำสั่งบริหารทั้งหมดของทรัมป์เป็นโมฆะ! ศาลระบุว่าประธานาธิบดีไม่มีอำนาจทางกฎหมายในการกำหนดภาษีการค้าระหว่างประเทศ อำนาจนี้เป็นของรัฐสภาโดยเฉพาะ
การตัดสินใจครั้งนี้ได้ดับฝันของมาตรการภาษีที่เคยขู่จะสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อราคาผลิตภัณฑ์ของ Apple โดยเฉพาะอย่างยิ่ง iPhone ที่ส่วนใหญ่ผลิตในประเทศจีน
ย้อนกลับไปในอดีต รัฐบาลทรัมป์เคยประกาศมาตรการภาษีสำหรับสินค้าที่ผลิตในจีน เริ่มต้นที่ 10% และเพิ่มขึ้นถึง 145% แม้จะมีการยกเว้นสำหรับสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภคในภายหลัง แต่ก็มีการระบุว่าเป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น และทรัมป์ยังได้ขู่ว่าจะเพิ่มภาษีอีก 25% โดยพุ่งเป้าไปที่ Apple โดยเฉพาะ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นการตอบโต้ที่ Tim Cook ซีอีโอของ Apple ปฏิเสธคำเชิญเข้าร่วมทัวร์ตะวันออกกลางของเขา แม้ภายหลังทรัมป์จะกล่าวว่ามาตรการนี้จะส่งผลกระทบต่อบริษัทอื่น ๆ ด้วยก็ตาม
ศาลได้ย้ำว่า “การมอบอำนาจภาษีแบบไร้ขีดจำกัดจะถือเป็นการละทิ้งอำนาจนิติบัญญัติอย่างไม่เหมาะสม” และ “คำสั่งภาษีที่ถูกท้าทายจะถูกยกเลิกและการดำเนินการจะถูกห้ามอย่างถาวร”
แม้ว่าคำตัดสินนี้จะนำมาซึ่งความโล่งใจให้กับผู้บริโภค แต่ก็ยังคงมีความไม่แน่นอนอยู่ เนื่องจากทรัมป์ไม่น่าจะยอมรับคำตัดสินนี้ และอาจนำไปสู่ความวุ่นวายในการกำหนดนโยบายภาษีต่อไป
หากมาตรการภาษีเหล่านี้เกิดขึ้นจริง ราคา iPhone อาจพุ่งสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ตัวอย่างการคำนวณที่เลวร้ายที่สุดแสดงให้เห็นว่า iPhone 16 Pro Max (1TB) อาจมีราคาสูงถึง 4,317 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 141,000 บาท) หากต้องเผชิญกับภาษี 145% และภาษีเพิ่ม 25% ที่ทรัมป์เคยขู่ไว้
9to5Mac ได้ให้ความเห็นว่าราคาที่สูงเกินจริงเหล่านี้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง เนื่องจากไม่มีใครจะยอมจ่ายในราคาดังกล่าว และข้อเสนอแนะที่ว่า Apple จะดูดซับต้นทุนทั้งหมด 100% ก็เป็นไปไม่ได้ในอัตราภาษีที่สูงขนาดนั้น
สุดท้ายแล้ว ศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ได้เพิ่มเหตุผลที่สี่ที่ทำให้สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้น นั่นคือ “มันผิดกฎหมาย”
ที่มา: 9to5mac