Connect with us

Apple News

iPhone 1 รุ่นแรก จนถึง iPhone 15 รุ่นใหม่ในปีนี้ สรุปฟีเจอร์น่าสนใจ

Published

on

iPhone 1 รุ่นแรก จนถึง iPhone 15 ในปีนี้ วันนี้ทีมงาน iphone-droid.net จะพาทุกคนย้อนไปดูตำนาน iPhone 2G รุ่นแรกจนถึงปัจจุบัน iPhone 15 series ไปดูกันว่าแต่ละรุ่นมีอะไรน่าสนใจบ้าง

iPhone 1 - 15 Evolution Timeline
iPhone 1 (1st generation) ปี 2007

iPhone 1 รุ่นแรก (1st generation) ปี 2007

iPhone 2G เป็นสมาร์ทโฟนเครื่องแรกที่ออกแบบให้ใช้งานด้วยการสัมผัสหน้าจอแสดงผลได้ ก่อนที่จะถึงวันเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 29 มิถุนายน 2550 มีข่าวลือออกมามายมายเกี่ยวกับสเปกและคุณสมบัติของ iPhone 2G พร้อมทั้งวันเปิดตัวที่บอกว่าจะเปิดตัวในวันที่ 9 มกราคม 2550 ซึ่งมันก็ไม่เป็นความจริง

iPhone 2G เป็นสมาร์ทโฟนที่มีรูปร่างเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า วิธีการจะทำงานผ่านหน้าจอแสดงผลด้วยการสัมผัสซึ่งถือว่าเป็นเรื่องใหม่มากในยุคสมัยนั้น iPhone 2G รอบรับการทำงานแบบ GPRS EDGE และสนับสนุนการถ่ายโอนข้อมูล iPhone 2G เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นเดียวจากค่าย Apple ที่ทำงานบนเครือข่าย EDGE 2G

iPhone 3G ปี 2008

iPhone 3G ปี 2008

iPhone 3G เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นที่ 2 ของ Apple ที่ได้มีการปรับปรุงและพัฒนาเพื่อลบข้อด้อยของ iPhone 2G ที่ถูกหลายค่ายผู้ผลิตนำไปโจมตี โดยเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2551 ในงาน WWDDC 2008 ที่ศูนย์ประชุม Moscone Center ในเมืองซานฟรานซิสโก

iPhone 3G กล้องถ่ายรูปความละเอียด 2MP เหมือนกับรุ่น iPhone 2G ขุมพลังที่ใช้ใน iPhone 3G ยังคงเป็น Samsung 32-bit RISC ARM มาพร้อมกับแรมขนาด 128MB แบบ eDRAM หน่วยความจำภายในมีให้เลือก 2 แบบคือ 8GB และ 16GB แต่ที่ทำให้ iPhone 3G มีความโดดเด่นมากในช่วงเวลานั้นก็คือ เป็นสมาร์ทโฟนที่สนับสนุนการเชื่อมต่อ โครงข่าย 3G และ Tri – band UMTS/HSDPA อย่างแท้จริง

ย้อนไปดูตำนานไอโฟนรุ่นแรกจนถึงปัจจุบัน

iPhone 3GS ปี 2009

iPhone 3GS เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นที่ 3 ในตระกูล iPhone ซึ่ง iPhone 3GS ได้มีการพัฒนาและต่อยอดจาก 3G เปิดตัวเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2552 ในงาน WWDC 2009 จัดขึ้นที่ศูนย์ประชุม Moscone Center เมืองซานฟรานซิสโก ในช่วงแรก Apple เลือกใช้ชื่อรุ่นเป็น “iPhone 3G S” ต่อมาได้มีการเปลี่ยนเป็น “iPhone 3GS”

เราจะเห็นว่าชื่อรุ่นที่ทาง Apple ตั้งมาสำหรับ iPhone นั้นมีความหมายในตัวเหมือนกับ “3GS” ตัวอักษร “S” ย่อมาจาก Speed หรือความเร็ว นอกจากการปรับปรุงประสิทธิภาพให้ทำงานด้วยความเร็วที่มากขึ้นด้วยการเปลี่ยนชิปเซ็ตรุ่นใหม่เป็น RM Cortex-A8 และหันมาใช้แรมแบบ DRAM ขนาด 256MB

หน้าจอแสดงผลแม้จะมีขนาด 3.5 นิ้วเท่าเดิมแต่ได้เปลี่ยนแผงหน้าจอแสดงผลใหม่เป็นแบบ LCD 24 Bit นอกจากนั้นยังมีการอัพเกรดความละเอียดของกล้องจากความละเอียด 2 ล้านพิกเซลเป็น 3 ล้านพิกเซล พร้อมกับบันทึกวิดีโอความละเอียด 480p

iPhone 4 ปี 2010

iPhone 4 ปี 2010

iPhone 4 เป็นสมาร์ตโฟนรุ่นที่ 4 ในตระกูล iPhone เป็น iPhone รุ่นแรกที่ถูกออกแบบมาให้รอบรับการใช้งานด้านมัลติมีเดียมากยิ่งขึ้น โดยความสามารถส่วนใหญ่จะเน้นในเรื่องของความบันเทิง เช่น ดูวิดีโอ, ฟังเพลง, เล่นเกม และ อินเทอร์เน็ต ประกาศอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2553 ในงาน WWDC 2010

iPhone 4 มีสิ่งที่แตกต่างจาก iPhone รุ่นก่อนหลายด้าน เริ่มจากการออกแบบใหม่เกือบทั้งหมด วัสดุที่ใช้ทำโครงสร้างและกรอบนั้นเป็นสเตนเลนสตีลไร้ฉนวนซึ่งทำหน้าที่เป็นเสาอากาศของเครื่อง และกระจกหน้าจอสัมผัสเป็นกระจกชนิดพิเศษที่มีความแข็งแรงโดยนำกระจกชนิดอลูมิโนซิลิเกต (aluminosilicate glass) มาประกบหน้าหลังเพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับตัวเครื่อง

iPhone 4 เป็น iPhone รุ่นแรกที่ใช้ขุมพลังเป็นชิปเซ็ตที่ผลิตจาก Apple โดยชิปเซ็ตนี้ชื่อว่า A4  ซึ่งก่อนหน้านี้ iPhone เลือกใช้ชิปเซ็ตของ Samsung มาพร้อมกับแรมขนาด 512MB แบบ DRAM หน่วยความจำภายในมีให้เลือก 3 แบบคือ 8GB, 16GB และ 32GB หน้าจอแสดงผลมีขนาด 3.5 นิ้ว แบบ LED backlit IPS TFT LCD (Retina Display) ความละเอียด 960×640 พิกเซล

และเป็นครั้งแรกกับสมาร์ทโฟนที่มีกล้องถ่ายรูปข้างหน้าและข้างหลังในเครื่องเดียวกัน แน่นอนว่าในยุคสมัยนั้นเป็นเรื่องที่ใหม่มาก iPhone 4 มีความละเอียดของกล้องถ่ายรูปด้านหน้าอยู่ที่ 0.3 ล้านพิกเซล บันทึกวิดีโอความละเอียด 480p ได้ ส่วนกล้องถ่ายรูปด้านหลังมีความละเอียด 5 ล้านพิกเซล บันทึกวิดีโอได้ความละเอียด 720p

จุดเด่นที่ทำให้ iPhone 4 กลายเป็นสมาร์ทโฟนที่ทันสมัยที่สุดในเวลานั้นก็คือการมีฟีเจอร์ FaceTime คือการสนทนาแบบเห็นหน้ากันได้เลยซึ่งในยุคสมัยนั้นถือว่าเป็นเรื่องใหม่สุดๆ ในยุคสมัยนี้เราจะเรียกวิธีนี้ว่า วิดีโอคอล (Video call) แต่การใช้ฟีเจอร์ FaceTime นั้นจำเป็นต้องเชื่อมต่อ Wi-Fi ถึงจะใช้งานฟีเจอร์นี้ได้และมีข้อแม้อีกอย่างหนึ่งคือคนที่เราจะโทรไปหานั้นต้องใช้ iPhone 4 ด้วยถึงจะใช้ฟีเจอร์ FaceTime ได้

ย้อนไปดูตำนานไอโฟนรุ่นแรกจนถึงปัจจุบัน

iPhone 4S ปี 2011

iPhone 4S เป็นสมาร์ทโฟนถ้านับจำนวนรุ่นคือรุ่นที่ 5 ของตระกูล iPhone แน่นอนว่าปีนี้ Apple ได้ทำสิ่งที่แตกต่างออกไปนั้นคือเปิดตัว iPhone มากกว่า 1 รุ่นภายในปีเดียวกัน เปิดตัวเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2554 ในงาน Let’s talk iPhone ณ สำนักงานใหญ่แอปเปิล เมืองคูเปอร์ทิโน่ เป็นรุ่นที่พัฒนาและปรับปรุงมาจาก iPhone 4 ซึ่งภายนอกมีลักษณะไม่แตกต่างกันมากนัก

สิ่งที่ได้รับการแก้ไขใน iPhone 4S นั้นก็คือปัญหาเรื่องของสัญญาณที่ไม่เสถียรที่เกิดขึ้นกับ iPhone 4 ในส่วนของระบบประมวลผลได้เปลี่ยนไปใช้ชิปเซ็ต Apple A5 แต่มีหน่วยความจำภายในเพิ่มขึ้นมาอีกรุ่นหนึ่งคือ 64GB  พร้อมกับเพิ่มความสามารถของกล้องถ่ายรูปด้านหลังให้มีความละเอียดในการถ่ายรูปสูงถึง 8 ล้านพิกเซลและบันทึกวิดีโอความละเอียดสูง 1080p เลยทีเดียว

ย้อนไปดูตำนานไอโฟนรุ่นแรกจนถึงปัจจุบัน

iPhone 5 ปี 2012

iPhone 5 เป็นสมาร์ทโฟนที่เริ่มทีการเปลี่ยนแปลงในด้านของรูปทรงให้บางขึ้นมาพร้อมกับวัสดุที่ดูแล้วทำให้ iPhone เป็นทรัพย์สินที่มีค่าคู่ควรกับเครื่องประดับราคาแพงได้เลย ถ้านับตามรุ่นแล้ว iPhone 5 จะเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นที่ 6 ในตระกูล iPhone เปิดตัวเมื่อวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555

iPhone 5 เป็นสมาร์ทโฟนที่มีการนิยมงานมากที่สุดเมื่อเทียบกับ 5 รุ่นที่ผ่านมา ขุมพลังที่ใช้จะเป็นชิปเซ็ต Apple A6 1.3GHz dual core แรมขนาด 1GB หน่วยความจำมีให้เลือก 3 แบบคือ 16GB, 32GB และ 64GB

ความละเอียดของกล้องถ่ายรูปด้านหลังเหมือนกับ iPhone 4S แต่ที่เพิ่มเข้ามาคือกล้องถ่ายรูปด้านหน้าที่มีความละเอียดมากขึ้นอยู่ที่ 1.2 ล้านพิกเซล และบันทึกวิดีโอความละเอียดสูง 720p อีกทั้งยังเป็น iPhone เครื่องแรกที่รองรับการทำงานแบบ LTE หรือ 4G นั่นเอง

หน้าจอแสดงผลของ iPhone 5 นั้นถูกเพิ่มขนาดให้กว้างขึ้นจากเดิม iPhone 4 จะมีหน้าจอแสดงผลขนาด 3.5 นิ้วแต่ใน iPhone 5 มีหน้าจอแสดงผลขนาด 4 นิ้ว ความละเอียดสูงถึง 1136 × 640 พิกเซล และเป็นครั้งแรกที่ Apple ตัดสินเปิดตัวพอร์ต Lightning ซึ่งกำลังจะมาเปลี่ยนเรื่องราวในอนาคตแบบที่หลายคนในยุคนั้นไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้น

ย้อนไปดูตำนานไอโฟนรุ่นแรกจนถึงปัจจุบัน

iPhone 5S ปี 2013

iPhone 5S เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นที่ 7 ในตระกูล iPhone โดย iPhone 5S เปิดตัวพร้อมกับ iPhone 5C ซึ่งเป็นรุ่นประหยัด เมื่อวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556 รูปลักษณะภายนอกจะเหมือนกับ iPhone 5 แต่สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาคือความสามารถในการบันทึกวิดีโอความละเอียดสูง 720p 120fps ซึ่งมาพร้อมกับโหมด slow-motion ในการบันทึกวิดีโอด้วย และ Dual Flash LED ช่วยเพิ่มแสงให้เราสามารถถ่ายรูปในช่วงเวลากลางคืนได้ และในรุ่นนี้ Apple ได้เพิ่มสีทอง ให้เป็นตัวเลือกสำหรับผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งสี จากเดิมที่มีแค่สีขาวกับสีดำ

แม้ว่ากล้องถ่ายรูปของ iPhone 5S จะมีความละเอียด 8MP เท่ากับรุ่นก่อนหน้า แต่มีการปรับปรุงรูรับแสงให้กว้างเป็น f/2.2 นอกจากนี้ยังมี Flash LED True Tone ที่ใช้แสงสีอำพันและสีขาว ฉายพร้อมกันในสัดส่วนที่ต่างกันตามที่เครื่องวัดได้ตรวจสอบสภาพแสงโดยรอบ เพื่อให้แสงที่ออกมามีความเหมาะสมกับอุณหภูมิสีของแสงในสภาพสิ่งแวดล้อมรอบตัวมากยิ่งขึ้นและเราได้รู้จักเทคโนโลยีสแกนลายนิ้วมือ Touch ID จากรุ่นนี้

ย้อนไปดูตำนานไอโฟนรุ่นแรกจนถึงปัจจุบัน

iPhone 5C ปี 2013

iPhone 5C เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นที่ 8 ในตระกูล iPhone เปิดตัวพร้อมกับ iPhone 5S ในวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556 ความแตกต่างของ iPhone 5C และ iPhone 5S นั้นอยู่ที่ขุมพลังและหน่วยความจำภายในที่แตกต่างกัน โดย iPhone 5C ใช้ชิปเซ็ต A6 แต่ iPhone 5S ใช้ชิปเซ็ต A7 หน่วยความจำของ iPhone 5S และความสามารถของกล้องหลังของ iPhone 5C นั้นจะเหมือนกับ iPhone 5 อย่างที่รู้กันว่า iPhone 5S มีความสามารถในการบันทึกวิดีโอ 720p 120 เฟรม เพิ่มเข้ามา ถึงแม้จะเปิดตัวพร้อมกับแต่ iPhone 5C ก็ไม่มี Touch ID เหมือนกับ iPhone 5S

ย้อนไปดูตำนานไอโฟนรุ่นแรกจนถึงปัจจุบัน

iPhone 6 series ปี 2014

iPhone 6 และ iPhone 6 Plus เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นที่ 8 และที่ 9 ในตระกูล iPhone เปิดตัวครั้งแรกในวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2557 iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ได้รับการปรับปรุงให้มีหน้าจอแสดงผลที่ใหญ่ขึ้น

  • iPhone 6 มีหน้าจอแสดงผล 4.7 นิ้ว ความละเอียด 1334 x 750 พิกเซล
  • iPhone 6 Plus มีหน้าจอแสดงผล 5 นิ้ว ความละเอียด 1920 x 1,080 พิกเซล

iPhone 6 และ iPhone 6 Plus มีหน่วยประมวลผลที่เร็วขึ้นกว่ารุ่นก่อนโดยใช้ชิปเซ็ตรุ่นใหม่ A8 ทั้ง 2 รุ่นมีการปรับปรุงการเชื่อมต่อแบบ LTE และ Wi-Fi ให้ดีขึ้น และสนับสนุนสำหรับการชำระเงินบนมือถือแบบ NFC พร้อมกับมีการปรับปรุงกล้องให้มีความสามารถในการบันทึกวิดีโอให้มากขึ้น โดยกล้องถ่ายรูปด้านหลังถึงแม้จะมีความละเอียดเท่าเดิมคือ 8 ล้านพิกเซลแต่มีความสามารถในการบันทึกวิดีโอที่ละเอียดขึ้นคือ 1080p 60 เฟรม 720p 120 เฟรม และ 720p 240 เฟรม แน่นอนว่ามาพร้อมกับโหมด slow-motion

iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ได้สร้างสถิติใหม่ด้วยยอดการสั่งจองล่วงหน้าในระยะเวลา 24 ชั่วโมงมียอดการสั่งซื้อมากกว่า 4 ล้านเครื่อง และภายใน 3 วันแรกหลังจากเปิดตัว iPhone ทั้ง 2 รุ่นมียอดขายมากกว่า 10 ล้านเครื่อง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ของ Apple ที่ต้องบันทึกไว้

ย้อนไปดูตำนานไอโฟนรุ่นแรกจนถึงปัจจุบัน

iPhone 6S series ปี 2015

iPhone 6S และ iPhone 6S Plus เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นที่ 10 และ 11 ในตระกูล iPhone หลังจากที่ Apple ประสบความสำเร็จในการจัดจำหน่าย iPhone 6 และ iPhone 6 Plus

Apple เลือกที่จะใช้ชื่อ iPhone 6S กับ iPhone รุ่นใหม่ในการเปิดตัวเพื่อเป็นการสานต่อความสำเร็จของ iPhone 6 โดยให้ชื่อรุ่นว่า iPhone 6S และ iPhone 6S Plus

iPhone 6S และ iPhone 6S Plus เปิดตัวเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2558 สิ่งที่เพิ่มเข้ามาสำหรับ iPhone รุ่นใหม่ทั้ง 2 รุ่นนี้คือสีของตัวเครื่องที่ Apple ได้เพิ่มเข้ามาหนึ่งสีคือ สีทองกุหลาบ (โรสโกลด์) จากเดิมที่มีสีเงิน สีเทาสเปซเกรย์ และสีทอง

iPhone 6S และ iPhone 6S Plus มีการออกแบบคล้ายคลึงกับ iPhone 6 แต่สิ่งที่ทาง Apple ได้มีการการปรับเปลี่ยนก็คือวัสดุที่ใช้ในการผลิตให้มีคุณสมบัติที่แข็งแรงมากยิ่งขึ้น ชิปเซ็ตรุ่นใหม่ A9 และมีการเพิ่มความสามารถของกล้องถ่ายรูปด้านหลังจาก 8 ล้านพิกเซลเป็น 12 ล้านพิกเซล โดยสามารถถ่ายวิดีโอความละเอียด 4K ส่วนกล้องหน้าจากความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล เป็นความละเอียด 5 ล้านพิกเซล นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติพิเศษเพิ่มเข้ามาคือระบบสัมผัสแบบ 3D Touch

ย้อนไปดูตำนานไอโฟนรุ่นแรกจนถึงปัจจุบัน

iPhone SE ปี 2016

iPhone SE เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นที่ 12 ของตระกูล iPhone เปิดตัวเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2559 มีแรงบัลดาลใจในการพัฒนาต่อยอดมาจาก iPhone 5S โดยมีขนาดหน้าจอแสดงผลอยู่ที่ 4 นิ้ว และมีรูปลักษณ์ภายนอกเหมือนกับ iPhone 5S เกือบทั้งหมด แต่สิ่งที่แตกต่างจาก iPhone 5S ก็คือฮาร์ดแวร์ที่นำฮาร์ดแวร์ของ iPhone 6S มาใส่ไว้ใน iPhone SE ถ้ามองให้เห็นภาพมากขึ้นก็คือ iPhone 5S ที่อัพเกรดฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ของ iPhone 6S จะมีที่แตกต่างก็คือกล้องหน้าที่มีความละเอียดเพียง 1.2 ล้านพิกเซล แต่ใน iPhone 6S มีความละเอียด 5 ล้านพิกเซล

ย้อนไปดูตำนานไอโฟนรุ่นแรกจนถึงปัจจุบัน

iPhone 7 series ปี 2016

iPhone 7 และ iPhone 7 plus เป็นสมาร์ทโฟนเป็นรุ่นที่ 13 และ 14 ของตระกูล iPhone เปิดตัววันที่ 7 กันยายน 2559 ในรุ่นนี้เพิ่มสีดำด้าน และสีดำเงาเพิ่มเข้ามาอีก ด้านความสามารถของ iPhone ทั้ง 2 รุ่นนี้ที่เพิ่มเข้ามาก็คือความสามารถในการป้องกันน้ำและป้องกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP67 และชิปเซ็ตรุ่นใหม่ A10 Fusion

เป็นครั้งแรกที่ Apple ตัดสินใจนำแจ็คหูฟัง 3.5 มม. ออกจาก iPhone และใช้พอร์ต lightning ในการเชื่อมต่อหูฟังแทน นอกจากนี้ในรุ่น iPhone 7 Plus ยังมีการปรับปรุงกล้องถ่ายรูปด้านหน้าให้มีความละเอียดมากขึ้นจากความละเอียด 5 ล้านพิกเซลเป็น 7 ล้านพิกเซล ส่วนกล้องถ่ายรูปด้านหลังมีความละเอียดเท่ากับ iPhone 6S แต่มีการเพิ่มเลนส์สำหรับการถ่ายรูปเข้าไปอีก 6 เลนส์ รูรับแสง f/1.8 แต่สำหรับ iPhone 7 Plus นั้นได้มีการเพิ่มกล้องถ่ายรูปคู่ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล มาพร้อมกับเลนส์ telephoto ทำให้สามารถซูมแบบ optical zoom ได้ 2 เท่า และซูมแบบ digital zoom ได้ 10 เท่า รูรับแสง f/2.8

ย้อนไปดูตำนานไอโฟนรุ่นแรกจนถึงปัจจุบัน

iPhone 8 series ปี 2017

iPhone 8 และ iPhone 8 Plus เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นที่ 15 และ 16 ของตระกูล iPhone เปิดตัววันที่ 12 กันยายน 2560 พร้อมกับ iPhone X สมาร์ทโฟนระดับ Hi-End

iPhone 8 และ iPhone 8 Plus มีการออกแบบที่เหมือนกับ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus สิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือการเพิ่มกระจกนิรภัยทั้งด้านหน้าและด้านหลังทำให้ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus มีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น แต่ฟีเจอร์ที่น่าสนใจอย่างมากก็คือ การชาร์จแบบไร้สาย นอกจากนั้นยังมีการเพิ่มความสามารถของกล้องถ่ายรูปให้สามารถถ่ายรูปในโหมดที่หลากหลายขึ้นและใช้ชิปเซ็ตรุ่นใหม่ระดับ Apple A11 Bionic ที่ช่วยให้การทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ให้น้อยที่สุด

iPhone X ปี 2017

iPhone X ปี 2017

iPhone X (X อ่านว่า “เท็น” ที่มีความหมายคือ 10) เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นที่ 17 ของตระกูล iPhone เปิดตัววันที่ 12 กันยายน 2560

iPhone X ถูกยกให้เป็นสมาร์ทโฟนระดับ Hi-End ที่มีเทคโนโลยีอันล้ำสมัย โดยออกแบบหน้าจอแสดงผลแบบ OLED ขนาด 5.8 นิ้ว มีความละเอียด 2,436 × 1,125 พิกเซล ดีไซน์ให้มีขอบจอที่เล็กลง ตัดปุ่มด้านหน้าของเครื่องออกเพื่อเพิ่มพื้นที่ในการใช้งานหน้าจอแสดงผลให้มากขึ้น  มาพร้อมกับกล้องหลังคู่ ประกอบด้วยเลนส์มุมกว้างความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.8 ซึ่งประกอบด้วยชุดเลนส์หกชิ้น ที่มาพร้อมกับเลนส์ telephoto รูรับแสง f/2.4 และมี Flash LED แบบทรูโทน ส่วนกล้องหน้า “TrueDepth” มีความละเอียด 7 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2 และมีเทคโนโลยีจดจำใบหน้า ซึ่งใช้ร่วมกับแอนิโมจิ และ Face ID การปลดล็อคด้วยใบหน้า ส่วนระบบการชาร์จจะเป็นสนับสนุนเทคโนโลยีชาร์จแบบเร็วได้แล้วในพอร์ต Lightning

สำหรับ iPhone X ถือได้ว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่ครบครันในการถ่ายรูปเป็นอย่างมาก เพราะในตอนนั้นมีเหล่าฟีเจอร์ที่สนับสนุนในการถ่ายรูปเป็นอย่างมาก

iPhone XS series ปี 2018

iPhone XS series ปี 2018

iPhone Xs และ iPhone Xs Max เรียกได้ว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่มีดีไซน์ใกล้เคียงกันมาก แต่แผงหน้าจอและขนาดแตกต่างกัน รวมถึงสเปคตัวเครื่องที่ไม่เหมือนกันด้วย เพื่อตอบโจทย์การใช้งานของแต่ละคนในระดับราคาที่ต่างกัน

แผงหน้าจอของรุ่นนี้เป็น OLED แต่ทาง Apple เรียกว่า Super Retina สานต่อความสำเร็จจาก iPhone X ของปีที่แล้วนั่นเอง โดยมีขนาดหน้าจอ 5.8 นิ้ว และ 6.5 นิ้ว นับเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกจาก Apple ที่มีหน้าจอใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในขณะนั้น

บนเวทีงานเปิดตัว Apple บอกว่าเป็น iPhone ที่สวยที่สุดเท่าที่เคยมีมาด้วยกรอบตัวเครื่องมันเงาสวยหรู ผสานรวมกับตัวเครื่องกระจกอย่างลงตัว กันน้ำมาตรฐาน IP68

การดีไซน์ iPhone XS ทำให้ได้ขนาดหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น ในขณะที่ขนาดตัวเครื่องใกล้เคียงกับรุ่นเดิมอย่าง iPhone 8 และ iPhone 8 Plus อีกทั้งหน้าจอแบบใหม่รองรับการแสดงผล HDR ตอบโจทย์ผู้ใช้งานที่ชื่นชอบการดูหนัง ด้วยอัตราส่วนคอนทราสต์สูงถึง 1,000,000:1 และมีลำโพงสเตอริโอคู่

กล้องถ่ายรูปด้านหลังเป็นเลนส์คู่ ความละเอียด 12 + 12 ล้านพิกเซล เป็นเลนส์ไวด์ปกติและเลน์เทโลโฟโต้ โดยมีระบบกันภาพสั่นไหว OIS ด้วย รองรับการบันทึกวิดีโอระดับ 4K และเสียงที่บันทึกนั้นก็เป็นแบบสเตอริโอด้วย

Smart HDR ฟีเจอร์ที่จะช่วยให้การถ่ายภาพที่มีแสงต่างกันมากๆ ได้รายละเอียดครบถ้วน โดยการถ่ายภาพหลายเฟรมแล้วนำมารวมเป็นภาพเดียวกัน เพื่อให้ได้แสงเงาที่สวยสมจริงมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้แล้วสำหรับการถ่ายภาพ Bokeh หน้าชัดหลังเบลอ สามารถปรับค่ารูรับแสงเพื่อละลายฉากหลังได้แล้วตั้งแต่ f/1.4 ไปจนถึง f/16

iPhone XR ปี 2018

iPhone XR ปี 2018

ในปีเดียวกันนี้ Apple ยังได้ประกาศเปิดตัว iPhone XR ตัวเครื่องหลากสีสัน มาพร้อมเลนส์กล้องหลังขนาดใหญ่ ตัวเครื่องกันน้ำได้มาตรฐาน IP67 และมีหน้าจอแสดงผล LCD ซึ่งเป็นรุ่นประหยัดของปีนั่นเอง

Apple เรียกหน้าจอของ iPhone XR ว่า Liquid Retina มีขนาด 6.1 นิ้ว มีเทคโนโลยี Face ID สแกนใบหน้าเพื่อปลดล็อคตัวเครื่องเหมือนกับรุ่นพรีเมียม และใช้ท่าทางการสัมผัสแบบเดียวกันด้วย

ชิพประมวลผลที่เลือกใช้ในรุ่นนี้เป็น A12 Bionic เช่นเดียวกับ iPhone Xs ซึ่งจุดขายรุ่นนี้คือกล้องหลังเลนส์ไวด์ 12 ล้านพิกเซล มีระบบกันภาพสั่นไหว OIS รูรับแสงกว้าง f/1.8

iPhone 11 series ปี 2019

iPhone 11 series ปี 2019

สำหรับดีไซน์หลักๆ ของ iPhone 11 series ด้านหน้าจะมีรอยบากเหมือนเดิม ขณะที่ด้านหลังก็มาตามภาพหลุดด้วยกล้องหลังทรงสี่เหลี่ยมที่อยู่ทางมุมซ้ายบน โดย iPhone 11 จะมีกล้อง 2 เลนส์ ส่วน iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max จะมีกล้องหลัง 3 เลนส์เหมือนกัน

iPhone 11 มาพร้อมกับกล้อง 2 เลนส์ความละเอียด 12 (Wide ซูม 2 เท่า) รูรับแสง f/1.8 + 12 (Ultra-Wide) ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 โดยกล้องหน้ามาพร้อมความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสงขนาด f/2.2 และสามารถถ่ายวิดีโอ Slow-Motion ได้ ส่วน iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max มาพร้อมกล้องหลัง 3 เลนส์ความละเอียด 12 (Wide) + 12 (Ultra-Wide) ล้านพิกเซล + 12 (Telephoto) ล้านพิกเซล โดยมีกล้องหน้าความละเอียดเหมือนกัน

ด้านฟีเจอร์กล้องก็จัดเต็มมีเพิ่มเข้ามาเพียบไม่ว่าจะเป็น Night mode แบบใหม่ ที่จะเพิ่มความสว่างให้ภาพอย่างมาก โดยจำถ่ายภาพทั้งหมด 9 ภาพรวมไว้เป็นภาพเดียว, Portrait Mode สามารถใช้งานร่วมกับสัวต์เลี้ยงได้แล้ว, สามารถถ่ายภาพขณะถ่ายวิดีโอได้ ขณะที่กล้องหน้าจะมี FaceID ที่เร็วขึ้น และสามารถถ่าย Slow-Motion ได้ในชื่อ “Slofies”

iPhone 11 มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผล Liquid Retina ขนาด 6.1 นิ้ว ความละเอียด 1792 x 828 พิกเซล ส่วน iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max มาพร้อมกับหน้าจอ Super Retina XDR ขนาด 5.8 และ 6.5 นิ้วตามลำดับ ใช้หน่วยประมวลผล A13 Bionic เหมือนกันทั้งหมด ควบคู่กับ GPU ที่ทาง Apple บอกว่าเร็วที่สุดในสมาร์ทโฟน และเรื่องของแบตเตอรี่ iPhone 11 สามารถใช้งานได้นานกว่า iPhone XR 1 ชั่วโมง ขณะที่ iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max จะใช้งานได้ยาวนานกว่า iPhone XS และ iPhone XS Max อยู่ 4-5 ชั่วโมงตามลำดับ

iPhone SE (รุ่นที่ 2) ปี 2020

iPhone SE (รุ่นที่ 2) ปี 2020

ในเดือนเมษายน ปี 2020 Apple ได้ประกาศเปิดตัว iPhone SE รุ่นที่ 2 ซึ่งเป็น iPhone ที่มาพร้อมจอภาพ Retina HD ขนาด 4.7 นิ้ว และมี Touch ID โดยมาในดีไซน์แบบกะทัดรัดที่ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นใหม่ทั้งภายในและภายนอก และเป็น iPhone ที่มีราคาย่อมเยาที่สุด

iPhone SE ใหม่ ขับเคลื่อนด้วยชิพ A13 Bionic ที่ออกแบบโดย Apple พร้อมระบบกล้องเดี่ยวที่ดีที่สุดเท่าที่ iPhone เคยมีมา ซึ่งจะนำประโยชน์จากการประมวลผลภาพถ่ายด้วยคอมพิวเตอร์มาสู่สมาร์ทโฟน รวมถึงโหมดภาพถ่ายบุคคล และยังได้รับการออกแบบมาให้ทนฝุ่นและน้ำด้วย

iPhone 12 series ปี 2020

iPhone 12 series ปี 2020

ดีไซน์ของ iPhone 12 ทั้ง 4 รุ่นด้านหน้าจอแสดงผลจะมีรอยบากเหมือนเดิม ขอบข้างจะมีความแบนตามภาพที่หลุดออกมา โดยใช้เป็นขอบอลูมิเนี่ยม ทั้งยังปรับเสาสัญญาณให้อยู่รอบเครื่อง โดยรุ่นจอ 6.1 นิ้ว มีความบางลง 11%, เล็กลง 15% และเบาขึ้น 16% ส่วน iPhone 12 Mini นั้นจะเป็นรุ่น 5G ที่บางที่สุดในโลก

ด้านหลังจะคล้ายกับ iPhone รุ่นก่อนหน้านี้ครับ โดยตัว iPhone 12 mini และ iPhone 12 จะมีกล้องหลัง 2 เลนส์ ขณะที่ iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max จะมีกล้องหลัง 3 เลนส์ พร้อมกับ LiDar Scanner เพื่อใช้ในการตรวจับวัตถุ 3 มิติเข้ามาด้วย

iPhone 12 นั้นมาพร้อมกับการรองรับ 5G Ultra Wide Band ที่ให้ความเร็วในการดาวน์โหลดสูงสุดถึง 4.0Gbps ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ทั้งยังช่วยเรื่องค่า Latency ให้น้อยลงอีกด้วย ทั้งนี้ยังมีฟีเจอร์ Smart Data Mode เพื่อสลับสัญญาณ LTE และ 5G เมื่อไม่ได้ใช้งาน 5G อีกด้วยเพื่อการประหยัดแบตเตอรี่

iPhone 12 ทุกรุ่นนั้นใช้หน้าจอ OLED เหมือนกันทั้งหมด โดยรุ่น iPhone 12 mini และ iPhone 12 จะเป็นหน้าจอ Super Retina XDR ขนาด 5.4 นิ้ว  ความละเอียด 2340 x 1080 พิกเซล และ 6.1 นิ้ว ความละเอียด 2532 x 1170 พิกเซล ตามลำดับ ส่วนตัว Pro ทั้ง 2 รุ่นจะเป็นแบบ Super Retina XDR โดยมีขนาดที่ 6.1 นิ้ว ความละเอียด 2532 x 1170 พิกเซล และ 6.7 นิ้ว ความละเอียด 2778 x 1284 พิกเซล ตามลำดับ

สำหรับชิพประมวลผลที่ใช้ใน iPhone 12 series คือ A14 Bionic ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้แล้วกับ iPad Air 4 ซึ่งยังเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของโลกที่มาพร้อมชิปขนาด 5 นาโนเมตร มีความเร็วด้าน CPU และ GPU มากที่สุดในโลกของสมาร์ทโฟน ขณะที่ Neural engine ก็มีถึง 13 คอร์ เร็วขึ้นถึง 80% เมื่อเทียบกับ iPhone 11

iPhone 13 series ปี 2021

iPhone 13 series ปี 2021

ดีไซน์ของ iPhone 13 ทั้ง 4 รุ่นจะเหมือนกับ iPhone 12 Series เกือบทั้งหมดครับ ตั้งแต่ขอบตัวเครื่องที่มีความแบนเรียบและขนาดหน้าจอเท่าเดิม แต่โมดูลกล้องหลังมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น และรอยบากที่หน้าจอจะเล็กลงกว่าเดิม 20%

สำหรับหน้าจอต้องพูดถึงเรื่องรอยากขนาดเล็กลงกันก่อนเลยครับ โดยใน iPhone 13 Series จะปรับตำแหน่งลำโพงสนทนาขึ้นไปไว้ด้านบน และขยับเทคโนโลยี Face ID และกล้องหน้าเข้ามาตรงกลาง ทำให้ใช้พื้นที่น้อยลงครับ ส่วนขนาดหน้าจอทั้ง 4 รุ่นจะเท่าเดิมทั้งหมด โดย iPhone 13 mini และ iPhone 13 จะมีความสว่างหน้าจอมากขึ้น 28% ใช้พาเนล Super Retina XDR พร้อมความสว่างสูงสุด 1,200 นิต (HDR)

ทุกรุ่นมาพร้อมหน่วยประมวลผล A15 Bionic ที่มีขนาด 5nm มี CPU แบบ 6‑core ใหม่ ซึ่งมีคอร์ด้านประสิทธิภาพ 2 คอร์ และคอร์ด้านประหยัดพลังงาน 4 คอร์ ควบคู่กับ GPU แบบ 4‑core ใหม่ และ Neural Engine แบบ 16‑core ใหม่ ทั้งยังรองรับการใช้งาน 5G และ WiFi 6

สำหรับรุ่น Pro และ Pro Max มีชิป ISP รุ่นใหม่เพื่อการถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ดีขึ้น และให้สีสันที่สดใสในที่แสงกลางวัน ทั้งยังมีฟีเจอร์การถ่ายวิดีโอ Cinematic Mode ทำให้ตัวบุคคลจะถูกปรับให้อยู่บริเวณกลางเฟรมโดยไม่ดูผิดปกติ ทั้งยังมีการเบลอฉากหน้า-หลังให้อย่างชาญฉลาด หรือสามารถล็อกโฟกัสได้ด้วยการกดค้างที่หน้าจอระหว่างถ่าย ทั้งยังรองรับการถ่าย Dolby Vision HDR

iPhone SE (รุ่นที่ 3) ปี 2022

iPhone SE (รุ่นที่ 3) ปี 2022

Apple ใช้เวลา 4 ปีหลังจากที่ iPhone SE รุ่นแรก เพื่อออกรุ่นใหม่ในปี 2020 ซึ่งเป็นรุ่นที่ 2 เรียกได้เป็นการรอคอยที่ยาวที่สุดในการสานต่อรุ่นใหมของ iPhone เมื่อเทียบกับ iPhone รุ่นอื่นๆ ที่เปิดตัวทุกปี และแฟนๆ ต้องรอกันอีก 2 ปี กว่าจะได้เห็นรุ่นใหม่ในปี 2022 นั่นก็คือ iPhone SE รุ่นที่ 3

iPhone SE 3 เป็น iPhone ราคาถูกรุ่นล่าสุด แม้ว่าจะไม่ใช่รุ่นที่มีสเปคแรงและดีที่สุดของ iPhone แต่การเปลี่ยนแปลงที่ความสำคัญอย่างมากจาก Apple ก็คือชิปเซ็ตรุ่นใหม่ที่รองรับ 5G และรองรับการเปิดใช้งานฟีเจอร์ภาพถ่ายใหม่ๆ ที่ได้รับการปรับปรุงหลายอย่างอีกด้วย

iPhone 14 series ปี 2022

iPhone 14 series ปี 2022

iPhone 14 Series จะมีความคล้ายเดิมในฝาหลังและขอบด้านข้างตัวเครื่องที่ยังคงมีขอบแบนเรียบและกล้องหลังที่มีดีไซน์แบบเดิมเมื่อเทียบกับ iPhone 13 Series (ไม่นับเรื่องขนาดที่ iPhone 14 Series จะใหญ่ขึ้น)

สิ่งที่เปลี่ยนไปแบบชัดเจนในรุ่น Pro เลยคือ Dynamic Island ที่เป็นการผสมผสานกันอย่างกลมกลืนกันระหว่างฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ สามารถปรับการทำงานในแบบเรียลไทม์เพื่อแสดงการแจ้งเตือนและกิจกรรมต่างๆ ได้ ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงส่วนควบคุมต่างๆ ได้ง่ายขึ้นเพียงแค่แตะค้างไว้ ส่วนกิจกรรมเบื้องหลังที่ทำงานอยู่อย่างต่อเนื่อง เช่น แอปแผนที่ แอปเพลง หรือนาฬิกานับถอยหลัง จะปรากฏให้เห็นตลอดเวลาและโต้ตอบได้

เป็นครั้งแรกที่กลุ่มผลิตภัณฑ์ตระกูล Pro มาพร้อมกล้องหลักความละเอียด 48MP ใหม่ ที่มีเซ็นเซอร์แบบ Quad-pixel ซึ่งจะปรับการทำงานเข้ากับภาพที่ถ่าย เป็นการรวมพิกเซลทุก 4 จุด ให้กลายเป็น 1 ควอดพิกเซลขนาดใหญ่ ถ่ายภาพในสภาวะแสงน้อยได้ดีมากขึ้น และมาพร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคัลที่ใช้การปรับตำแหน่งเซ็นเซอร์รุ่นที่ 2

Apple iPhone 15 series

iPhone 15 series ปี 2023

iPhone 15 และ iPhone 15 Plus มาพร้อมกระจกแต่งสีที่มีผิวด้าน และขอบมนแบบใหม่บนตัวเครื่องอะลูมิเนียม โดยทั้ง 2 รุ่น ยังมาพร้อม Dynamic Island และระบบกล้องคู่ กล้องหลัก 48MP ที่มีตัวเลือกเทเลโฟโต้ 2 เท่าใหม่ ที่ให้การซูมแบบออปติคัลแก่ผู้ใช้ถึง 3 ระดับ เสมือนการมีกล้องตัวที่ 3 ใช้ชิป A16 Bionic และพอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB‑C

iPhone 15 และ iPhone 15 Pro Max ที่ได้รับการออกแบบมาด้วยไทเทเนียมเกรดเดียวกับที่ใช้ในอุตสาหกรรมอวกาศที่ทั้งแข็งแกร่งและเบา จนได้เป็นรุ่น Pro ของ Apple ที่เบาที่สุดเท่าที่เคยมีมา ดีไซน์ใหม่ดังกล่าวยังมาพร้อมขอบมนและปุ่มแอ็คชั่นที่ปรับแต่งได้ มีระบบกล้องหลัก 48MP และรองรับความละเอียดสูงเป็นพิเศษแบบใหม่ที่ 24MP และยังรองรับการถ่ายภาพบุคคลเจเนอเรชั่นถัดไปที่มีคุณสมบัติการควบคุมโฟกัสและระยะชัดลึก มีการปรับปรุงโหมดกลางคืนและ HDR อัจฉริยะ และยังมีกล้องเทเลโฟโต้ 5 เท่าแบบใหม่ พิเศษเฉพาะใน iPhone 15 Pro Max

ทั้ง iPhone 15 และ iPhone 15 Pro Max ใช้ชิป A17 Pro มีพอร์ตเชื่อมต่อ USB‑C ใหม่ที่เร็วสุดแรงด้วยความเร็วของ USB 3 ที่เร็วกว่า USB 2 สูงสุด 20 เท่า และมาพร้อมกับไฟล์วิดีโอรูปแบบใหม่ที่มอบเวิร์กโฟลว์ระดับโปรอย่างมีประสิทธิภาพในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน

เป็นอย่างไรกันบ้างสำหรับ iPhone 1 รุ่นแรกมาจนถึง iPhone 15 รุ่นใหม่ในปีนี้ ที่มีการอัปเกรดหลายด้านที่น่าสนใจมากๆ อย่าลืมกดติดตามแฟนเพจ @iPhoneDroid.net และทวิตเตอร์ @iPhone_Droid จะได้ไม่พลาดข่าวสารดีๆ ด้วยนะครับ

กำลังฮอต

Featured3 สัปดาห์ ago

รีวิว vivo Y100 5G สนุกกับสเปกเต็ม 100 ด้วยขุมพลัง SD 4 Gen 2 5G ดีไซน์อัปเกรดสุดพรีเมียม พร้อมชาร์จเร็ว 80W FlashCharge

รีวิว vivo Y100 5G น...

Featured4 สัปดาห์ ago

รีวิว realme 12+ 5G | realme 12 Pro+ 5G “Be a Portrait Master” ด้วยกล้อง Periscope ระดับเรือธง | ดีไซน์นาฬิกาหรู | ชาร์จไว 67W SUPERVOOC

รีวิว realme 12+ 5G ...

Featured1 เดือน ago

รีวิว Xiaomi 14 | 14 Ultra เรือธงกล้องเทพในสองขนาด พร้อมการถ่ายภาพและวิดีโอระดับ Next-Generation ของ Leica!

รีวิว Xiaomi 14 Seri...

Featured1 เดือน ago

รีวิว vivo V30 Pro 5G สมาร์ตโฟน “Portrait So Pro” ถ่ายเทพเกินคนด้วยกล้องขั้นสูงควบคู่เลนส์ ZEISS ระดับโปร พร้อมเทคโนโลยีระดับเรือธง

รีวิว vivo V30 Pro 5...

Featured2 เดือน ago

รีวิว vivo V30 5G สมาร์ตโฟน “Portrait So Pro” ถ่ายเทพเกินคนด้วยออร่าพอร์ตเทรต 3.0 พร้อมกล้อง 50MP ทุกเลนส์

รีวิว vivo V30 5G สม...

Android News2 ชั่วโมง ago

Xiaomi 15 Series เตรียมทดสอบภายในเดือนนี้ลุ้นการเปิดตัวในจีนที่ใกล้เข้ามาแล้ว

ปลายปีที่แล้ว Xiaomi...

HarmonyOS2 ชั่วโมง ago

จัดเต็ม 4 รุ่น ! HUAWEI เปิดตัว Pura70 Series ใช้ชิป Kirin รุ่นใหม่ มีเลนส์ Periscope พร้อมเซ็นเซอร์กล้องใหญ่สุด 1 นิ้ว

วันนี้ HUAWEI เปิดตั...

Android News4 ชั่วโมง ago

ไม่จบ ! ปัญหาเส้นเขียวจอ Samsung ยังคงเกิดขึ้นหลังผู้ใช้งานอัปเดทแพทช์เดือนล่าสุด

ผู้ใช้งาน Samsung Ga...

Android News5 ชั่วโมง ago

Samsung เปิดตัว Exynos 5400 โมเด็ม 5G รุ่นใหม่ ขนาด 4nm พร้อมรองรับดาวเทียม และโหลดได้เร็วสุด 14.79Gbps

Samsung เปิดตัว Exyn...

OPPO Reno11 Series 5G AI Eraser OPPO Reno11 Series 5G AI Eraser
ข่าวประชาสัมพันธ์6 ชั่วโมง ago

OPPO เปิดตัว ยางลบ AI ใน OPPO Reno11 Series 5G วงปุ๊ปลบปั๊ปได้ง่ายเพียงปลายนิ้ว

OPPO แบรนด์อุปกรณ์อั...

Advertisement

Copyright © 2012 iphone-droid.net.

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ ดูเพิ่มเติมที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และจัดการได้ที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึก