Apple เปิดตัว iPhone 17 Series ที่รอบนี้มาด้วยกัน 4 รุ่นเหมือนเดิม แต่มีการเปลี่ยนแปลงรุ่นในตระกูลด้วย ได้แก่ iPhone 17, iPhone Air, iPhone 17 Pro และ iPhone 17 Pro Max โดยทุกรุ่นมีการอัปเกรดเรื่องกล้อง ปรับดีไซน์ใหม่ทั้งหมด และชิปเซ็ตรุ่นใหม่ทรงพลัง
ดีไซน์โฉมใหม่ สดใสกว่าเดิม พร้อมสีสันที่เปลี่ยนแปลง !!
iPhone 17 Series มีการเปลี่ยนแปลงโฉมใหม่ทั้งหมด (ยกเว้น iPhone 17 ที่ยังคล้ายกับ iPhone 16) โดยมีการเพิ่มฐานกล้องให้เป็นแนวยาวตั้งแต่ครึ่งบนฝั่งซ้ายไปสุดฝั่งขวา โดยมีกล้องฝั่งซ้ายฝาหลัง ขณะที่ไฟแฟลช และ LiDar (รุ่น Pro) ย้ายไปที่ฝั่งขวาครับ ทั้งนี้ Apple ยังปรับวัสดุรุ่น Pro กลับมาใช้เป็นอะลูมิเนียมแทนที่ไทเทเนียมแล้วด้วย ขณะที่ยังมาพร้อม Vapor Chamber ขนาดใหญ่
ขณะที่รุ่น Air เป็นสมาชิกใหม่ที่มาแทนที่รุ่น Plus เน้นความบางมากๆ แค่ 5.6 มม. เท่านั้น โดยตัวเครื่องรุ่นนี้ทนทานต่อรอยขีดข่วนดีขึ้น 3 เท่าเมื่อเทียบกับชิลด์เซรามิกรุ่นก่อนหน้า และยังได้เพิ่มเข้ามาที่ด้านหลังอีกด้วย ที่สำคัญรุ่นนี้จะใช้เป็นแค่ eSIM ทั่วโลก !!
สีสันของ iPhone 17 จะมี 5 สี ได้แก่ ลาเวนเดอร์, มิสท์บลู, ดำ, ขาว และเซจ ขณะที่รุ่น iPhone Air ได้เป็น Space Black, Cloud White, Light Gold and Sky Blue ส่วน iPhone 17 Pro และ 17 Pro Max จะมี 3 สี ได้แก่ Silver, Deep Blue และ Cosmic Orange
หน้าจอที่ได้ Dynamic Island ที่เล็กลงกว่าเดิมเล็กน้อย
ปีนี้ iPhone 17 Pro และ 17 Pro Max มีการปรับให้ขอบหน้าจอที่บางลงกว่าเดิมขึ้นไปอีกนิดด้วย โดยรุ่น Pro ทั้ง 2 รุ่นยังมีขนาดอยู่ที่ 6.3 นิ้ว และ 6.9 นิ้ว โดยพาเนลหน้าจอใช้เป็น Super Retina XDR แบบ OLED รองรับ ProMotion 120Hz และเพิ่มความสว่างมากขึ้นเพื่อสู้แสงได้ดีกว่าเดิม ทั้งยังเสริมกระจกป้องกันสะท้อนด้วยครับ
ขณะที่รุ่นเริ่มต้นอย่าง iPhone 17 มีขนาดอยู่ที่ 6.3 นิ้วจากขอบหน้าจอที่บางลงกว่าเดิม และรุ่น iPhone Air ที่มาแทนที่รุ่น Plus มีขนาด 6.5 นิ้ว โดยทั้ง 2 รุ่นมีการขยับ Refresh Rate ขึ้นมาเป็น 1-120Hz ตามคำเรียกร้อง !! พร้อมความสว่างสูงสุด 3000 นิต
ขุมพลัง A19 Series พร้อมแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานที่สุดเท่าที่เคยมีมาบน iPhone
iPhone 17 Series ขยับขึ้นมาใช้หน่วยประมวลผล A19 Series ขนาด 3nm ซึ่งมีการแบ่งเหมือนเดิม เป็นรุ่น A19 เป็น CPU 6 คอร์ + GPU 5 คอร์ + Neural Engine 16 คอร์ ใช้งานในรุ่น iPhone 17
โดยรุ่น A19 Pro อยู่ในรุ่น iPhone Air และ iPhone 17 Pro เป็น CPU 6 คอร์ + GPU 6 คอร์ ซึ่งระบุว่านี่คือ CPU ที่เร็วที่สุดในโลกของสมาร์ทโฟน ! Apple เรียกว่าที่คือพลัง Mac ใน iPhone
ทั้งนี้ Apple ยังชิปใหม่ของตัวเองอย่าง N1 ปไร้สายที่ออกแบบโดย Apple ซึ่งรวม Wi-Fi 7, Bluetooth และ Threads และยังได้ชิป C1X โมเด็ม 5G ที่ใช้งานได้ดีขึ้นว่าเดิม เสถียรขึ้น ประหยัดพลังงานกว่าเดิมด้วย
ทั้งนี้ แบตเตอรี่ทุกรุ่นได้รับการอัปเกรดใหม่ให้ใช้งานได้นานมากขึ้นกว่าเดิม iPhone 17 สามารถชาร์จได้ถึง 50% ในเวลา 20 นาทีเท่านั้น ขณะที่รุ่น iPhone Air ยังรองรับการใช้งานเต็มวันเหมือนเดิมแม้ว่าจะบางที่สุดของ iPhone ครับ
ส่วนแบตเตอรี่ในรุ่น Pro สามารถเล่นวิดีโอได้นานสุดถึง 39 ชั่วโมงเป็นครั้งแรกครับ
ตัวเลือกความจุของทั้ง 4 รุ่นจะมีตั้งแต่ 256GB/512GB ส่วนรุ่น Pro มี 1TB และรุ่น Pro Max จะได้ความจุสูงสุดถึง 2TB ครับ
กล้องอัปเกรดใหม่ Telephoto 8x ในรุ่น Pro พร้อมใช้ 48MP ทุกเลนส์แล้ว
เรื่องกล้อง iPhone 17 Pro และ iPhone 17 Pro Max มีการอัปเกรดกล้องทุกเลนส์ให้เป็น 48MP ทั้งหมดแล้ว ตั้งแต่เลนส์หลัก + Ultra Wide Angle + Telephoto การถ่ายภาพมีการปรับเซ็นเซอร์ให้ถ่ายได้คมชัดขึ้น เก็บแสงได้มากขึ้นกว่าเดิม ตกแต่งและแก้ไขได้ละเอียดขึ้นกว่าเดิมด้วยครับ ที่สำคัญกล้อง Periscope Telephoto สามารถซูมออปติคอลได้ไกลสุดถึง 8x จากเดิมที่ทำได้ 5x ครับ ขณะที่กล้องหน้าเป็น 18MP Center Stage
iPhone 17 Pro ยังรองรับ Dolby Vision HDR, 4K120, ProRes Log, รองรับ ACES เช่นเดียวกับฟีเจอร์วิดีโอระดับมืออาชีพใหม่ๆ เช่น ProRes RAW เป็นต้น
ส่วนรุ่น iPhone 17 จะมีเลนส์หลัก ระยะ 2x 48MP โดยรุ่น iPhone 17 จะได้เลนส์ Ultra Wide อัปเกรดขึ้นมาเป็น 48MP อีกด้วย !!
ทั้งนี้กล้องหน้ายังเป็น 18MP ยังรองรับการใช้งาน Center Stage ที่จัดวางตำแหน่งการเซลฟี่ให้อยู่ตรงกลางได้ง่ายๆ
ทั้งนี้กล้องหลังของ iPhone Air ได้เป็น 48MP เดี่ยวๆ ครับ และกล้องหน้าไดเป็น 18MP Center Stage เช่นกัน
ราคาและวันวางจำหน่าย
iPhone 17 ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 799 ดอลลาร์ หรือประมาณ 25,000 บาท (ตัวเลือกความจุ 256/512GB)
iPhone Air ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 999 ดอลลาร์ หรือประมาณ 31,700 บาท (ตัวเลือกความจุ 256/512GB)
iPhone 17 Pro ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 1,099 ดอลลาร์ หรือประมาณ 34,900 บาท (ตัวเลือกความจุ 256/512GB/1TB/2TB)
iPhone 17 Pro Max ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 1,199 ดอลลาร์ หรือประมาณ 38,000 บาท (ตัวเลือกความจุ 256/512GB/1TB/2TB)