รีวิว vivo X200 FE เรือธงดีไซน์เครื่องเล็ก จับกระชับขุมพลัง Dimensity 9300+ พร้อมกล้อง ZEISS 50MP ซูมไกลสุด 100x !

โดย Shine

รีวิว vivo X200 FE มาแล้ว !! สมาร์ตโฟน ZEISS Image. Pro Packed. เรือธงตัวเครื่องเล็กที่จับได้อย่างกระชับมือ ตอบโจทย์คนชอบเครื่องที่กะทัดรัดและใช้งานมือเดียวได้สะดวก แถมชูโรงด้วยสีสันหลากหลาย ‘บ่งบอกความเป็นคุณในทุกสไตล์’ และบอกเลยว่าเห็นเล็กๆ แบบนี้ แต่ฟังก์ชันที่ใส่เข้ามาอัดแน่นพร้อมใช้งานแบบเต็มที่

สรุปสเปก vivo X200 FE

  • ขนาดตัวเครื่อง : 150.83 x 71.76 x 7.99 มม.
  • น้ำหนัก : 186 กรัม
  • หน้าจอแสดงผล AMOLED ขนาด 6.31 นิ้ว ความละเอียด 1.5K (2640 × 1216 พิกเซล) รองรับ Refresh Rate 120Hz อัตราส่วน 19.54:9 สัดส่วนพื้นที่ต่อหน้าจอ 94.40%, แสดงผลสี 1.07 พันล้านสี, Contrast Ratio 8000000:1 ความสว่างสูงสุด 5000nits และความถี่ 2160Hz PWM Dimming
  • หน่วยประมวลผล : MediaTek Dimensity 9300+ Octa-core ความเร็ว Clock สูงสุด 3.4GHz
  • GPU : Immortalis-G720
  • RAM : 12GB LPDDR5X
  • ROM : 512GB UFS 3.1
  • กล้องถ่ายรูปด้านหลัง 3 เลนส์จาก ZEISS ดังนี้
    • เลนส์หลัก ZEISS Main Camera ความละเอียด 50MP รูรับแสง f/1.88 เซ็นเซอร์ Sony IMX921 VCS Bionic, 1/1.56″ และรองรับกันสั่น OIS
    • เลนส์ ZEISS Super Periscope Telephoto Camera 3x 50MP รูรับแสง f/2.65 เซ็นเซอร์ Sony IMX882 Ultra-Sensitive, 1/2″ ซูมสูงสุด 100x
    • เลนส์ Ultra Wide-Angle Camera 8MP มุมกว้าง 120 องศา รูรับแสง f/2.2
  • กล้องหน้าจาก ZEISS ความละเอียด 50MP, รูรับแสง f/2.0 รองรับ AF
  • ระบบปฏิบัติการ Android 15 ครอบทับด้วย Funtouch OS 15
  • รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 7, Bluetooth 5.4, NFC, 5G และพอร์ต USB Type-C
  • แบตเตอรี่ความจุ 6500mAh รองรับชาร์จเร็ว 90W FlashCharge

แกะกล่อง ดีไซน์ตัวเครื่อง และหน้าจอแสดงผล

มาแกะกล่อง vivo X200 FE กันเลย !

กล่องของรุ่นนี้ให้มาเหมือนกับตัวรุ่นพี่ใน vivo X200 Series ทั้งหมด เป็นกล่องสี่เหลี่ยมสีดำ พร้อมมีชื่อรุ่น “X200 FE” Co-engineering with ZEISS ตรงกลาง และล้อมรอบด้วยวงกลมที่เป็นเสมือนเลนส์กล้องนั่นเองครับ

เปิดออกมาชั้นแรกจะเจอกับตัวเครื่องที่ใส่ซองเอาไว้ สามารถเปิดออกมาใช้งานได้เลย และฟิล์มกันรอยก็ติดมาให้เรียบร้อยแล้ว

ชั้นที่ 2 จะมี 2 กล่องที่ใส่แยกกันเอาไว้ โดยกล่องสีดำด้านขวาจะเป็นหัวชาร์จ 90W FlashCharge และสาย USB Type-A to Type-C

ส่วนอีกกล่องจะเป็นสำหรับใส่อุปกรณ์เสริม ตั้งแต่เคสซิลิโคน (ได้สีเคสตามสีเครื่องสวยๆ เลยครับ) พร้อมด้วยเข็มเปิดถาดซิม และคู่มือการใช้งานเบื้องต้น

ดีไซน์ขนาดเล็กพร้อมการจับถนัดมือขั้นสุด

บอกเลยว่าจุดเด่นของ vivo X200 FE หนึ่งในนั้นคือขนาดตัวเครื่องที่เล็ก สามารถจับได้ถนัดมือในการใช้งานเพียงมือเดียว เวลากดหรือใช้งานต่างๆ ไม่ต้องเอื้อมจนสุดมือเลย หาได้ยากมากในการเป็นเรือธงในยุคนี้ครับ ขณะที่การกดปุ่ม Power หรือปรับระดับเสียงก็ทำได้ง่าย ไม่ต้องขยับมือเยอะเลย และด้วยดีไซน์แบบนี้น่าจะถูกใจผู้หญิงหรือผู้ชายมือเล็กที่อยากได้รุ่นกะทัดรัดสักรุ่นแต่ได้สเปกระดับท็อปๆ บอกเลยว่าตอบโจทย์สุดๆ

ขนาดเครื่องอยู่ที่เพียง 150.83 x 71.76 x 7.99 มม. และก็เบาแค่ 186 กรัมเท่านั้น ซึ่งถ้านับความบางก็ใกล้เคียงกับรุ่นพี่ในตระกูล X200 Series สะด้วย ทั้งนี้ความพรีเมียมในรุ่นนี้คือการใช้ฝาหลังแบบ Metallic Sand AG และขอบตัวเครื่องอัลลูมิเนียมอัลลอยด์ที่ทำให้ทุกอย่างนั้นลงตัวในมือเรา

สีสันก็สวยงามสุดๆ ไม่แพ้เรื่องดีไซน์เลย เราได้มา 2 สี คือสีฟ้า Blue Breeze เป็นสีฟ้าอ่อนๆ เป็นแบบโทนเดียว ได้ความมินิมอลสุดๆ ไปเลย ทั้งยังได้เป็นผิวด้าน ช่วยป้องกันรอยนิ้วมือ ไม่ให้ต้องมาคอยเช็ดตลอด ขณะที่ขอบเครื่องสีฟ้านี้จะเป็นสีเดียวกับฝาหลังเลย

ส่วนอีกสีจะเป็นชมพู Pink Vibe ได้ความสวยงามและความสดใสมากขึ้นกว่าเดิม แต่ตรงขอบเครื่องจะเป็นการตัดด้วยสีดำที่ตรงข้ามอารมณ์กับฝาหลังชัดเจน ทำให้ดูตัวเครื่องโดดเด่นขึ้นมากว่าเดิมครับ

ทนน้ำและฝุ่นมาตรฐาน IP68 & IP69

รุ่นนี้ยังได้ความทนน้ำและฝุ่นในระดับ IP68&69 ทำให้ทนต่อแรงดันน้ำได้สูง รวมถึงสามารถทนต่อการตกน้ำได้ลึกสุด 1.5 เมตร นานสูงสุดกว่า 30 นาที แต่ท้ายสุดเราก็แนะนำว่าไม่ควรนำเครื่องไปใช้งานใต้น้ำครับ

Vapor Chamber ขนาดใหญ่ในเครื่องสุดกระชับ

vivo X200 FE ยังได้ระบบการจัดการความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ มี Vapor Chamber (VC) ขนาดใหญ่ถึง 3,800 ตร.มม และสามารถระบายความร้อนที่ครอบคลุมทั่วตัวเครื่องกว่า 28,940 ตร.มม. ซึ่งเย็นกว่าเดิมถึง 44% จากการใช้วัสดุกราไฟต์ที่นำความร้อนได้ดีกว่านั่นเองครับ

หน้าจอแบน ZEISS Master Color ขนาดเล็กแต่เต็มตา !

vivo X200 FE ใช้หน้าจอแสดงผลแบบ ZEISS Master Color พาเนล AMOLED ขนาด 6.31 นิ้ว ซึ่งเป็นขนาดที่ไม่ใหญ่จนเกินไป แต่ก็ไม่เล็กจนมองอะไรไม่เห็น เป็นตัวเลขที่กำลังพอดีมากๆ แถมความคมชัดก็อยู่ที่ 1.5K (2640 x 1216 พิกเซล) แถมใครที่ชอบหน้าจอแบนก็น่าจะหลงรักรุ่นนี้ได้ง่ายๆ เลยล่ะ ขอบจอก็บางเฉียบแค่ 1.32 มม. ทำให้มีพื้นที่การแสดงผลต่อสัดส่วนหน้าจอถึง 94.40% เลยทีเดียว ทั้งนี้สีสันก็สดใสด้วยการแสดงผลถึง 1.07 พันล้านสี คู่กับ Contrast Ratio 8000000:1 ความสว่างสูงสุดถึง 5000nits

เรื่องการเล่นเกมก็เอาใจให้ความไหลลื่นด้วย Refresh Rate สูงสุด 120Hz ทำให้เล่นเกมได้เต็มที่ ตอบสนองได้ไว และยังใช้งานต่อเนื่องได้นานเพราะให้ความถี่มาสูงที่ 2160Hz PWM Dimming

ความแข็งแกร่งของหน้าจอก็ยังให้มาเป็นกระจก Shield Glass ผ่านมาตรฐานระดับทหารทำให้เราใช้งานได้เต็ม อุ่นใจทุกการใช้งาน แถมยังผ่านมาตรฐานการรับรองจาก SGS ด้านการทนฝุ่น ทนน้ำ และกันกระแทกได้เป็นอย่างดีด้วยครับ

พาชมรอบเครื่อง

พามาดูตัวเครื่องให้ละเอียดกันอีกนิดบ้างดีกว่า รุ่นนี้จะได้กล้องหน้า Punch Hole ตามปกติเลยครับ พร้อมเป็นลำโพงสเตอริโอที่อยู่แถบบนมาให้ครบ

โดยที่ปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง และปุ่ม Power จะอยู่ทางฝั่งขวาที่เยื้องๆ ไปที่ตรงส่วนบนหน่อยครับ

ขณะที่ด้านล่างจะได้ช่องใส่ซิมการ์ดแบบ NanoSIM 2 ช่อง ตามด้วยไมโครโฟนตัวที่ 1 พร้อมพอร์ต USB-C และลำโพงตัวหลัก

ด้านบนจะได้ไมโครโฟนมาให้อีก 2 ตัวในการตัดเสียงรบกวน

ด้านสุดที่ด้านหลังเครื่องจะเป็นโมดูลกล้องขนาดใหญ่แนวตั้ง ฝังด้วยกล้อง 2 เลนส์บนฐาน ซึ่งจะมีอีกเลนส์อยู่ติดกับฝาหลังเลย และยังได้ไฟ Aura Light มาให้ด้วยเหมือนกันครับ

ซอฟต์แวร์ และฟังก์ชั่นการใช้งาน

มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Android 15 ฟังก์ชันเพียบ

vivo X200 FE รันบน Android รุ่นล่าสุดของแบรนด์อย่าง Android 15 โดยฟีเจอร์ต่างๆ ก็มีการใช้งานกันเพียบ โดยเฉพาะการใช้งานด้าน AI ที่ใส่เข้ามาให้ครบ รวมถึงความเสถียรในการใช้งานก็แทบไม่มีบัคหรือข้อผิดพลาดอะไรเลยครับ

ระบบเสียงสเตอริโอคู่แบบจัดเต็ม !

แน่นอนว่าลำโพงที่ใส่เข้ามาให้ก็เป็นสเตอริโอแบบคู่มาให้ มีความคมชัดและเสียงมีมิติมากๆ ไม่ว่าจะใช้ดูภาพยนตร์หรือวิดีโอก็ทำได้ยอดเยี่ยม หรือจะเล่นเกมก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน สามารถได้ยินเสียงรอบทิศทางแบบชัดเจนเลยครับ

ระบบความปลอดภัยครบ

การสแกนลายนิ้วมือก็ยังถูกใส่เข้ามาใช้ตามปกติ สามารถสแกนได้รวดเร็วและเสถียรมากๆ หรือจะเป็นการสแกนใบหน้าก็ทำได้รวดเร็วไม่แพ้กันเลยครับ

ฟีเจอร์ AI ที่มีให้ใช้งานแบบครบๆ

แน่นอนว่า AI ก็มีให้เราได้ใช้งานกันเยอะพอสมควร เพิ่มความสะดวกในชีวิตประจำวันได้แน่นอนครับ ซึ่งหลักๆ จะมีดังนี้

Google Gemini

แน่นอนว่า Gemini มีให้ใช้งานกันด้วยเพื่อเป็นมือขวาประจำกายของเราเลยครับ เวลาเรียกใช้งานก็แค่กดปุ่ม Power ค้างไว้ จากนั้นก็พูดหรือถามสิ่งที่ต้องการได้เลยครับ และยิ่งใครที่ปรับเป็นตัวใหม่อย่าง 2.5 Pro จะได้ข้อมูลที่อัปเดตแบบรายวันเลยทีเดียว

Circle to Search

ฟีเจอร์นี้น่าจะคุ้นเคยกันดีเลยล่ะครับ วงเพื่อค้นหาได้เลยทันที เพียงแค่กดปุ่ม Home หรือตรงแถบนำทางค้างไว้ จากนั้นก็วงเพื่อต้องการสิ่งที่ค้นหาได้เลย โดยระบบจะค้นหาผ่าน Google Search และแสดงผลลัพธ์ขึ้นมาทันที

AI Transcript Assist

AI ด้านนี้จะอยู่ในส่วนของการโทร โดยจะเป็นการสรุปอัจฉริยะ รวมถึงมีการแสดงคำบรรยายสดในตอนที่กำลังคุยโทรศัพท์ด้วย และยังสามารถบันทึกการโทรเอาไว้ได้เหมือนกันครับ

Live Call Translation

ฟีเจอร์นี้ก็เป็นการโทรเหมือนกัน จะเป็นการแปลระหว่างการโทรเพื่อช่วยให้เราสามารถเข้าใจคู่สนทนาได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมครับ

AI Ultra HD Image แปลงภาพทุกช่วงเวลาให้ชัดเจนมากขึ้น !

ฟีเจอร์นี้จะเป็นการปรับภาพให้มีความคมชัดขึ้นกว่าเดิม โดยการใช้งานจะสามารถนำภาพเก่าๆ ในอดีตของเรามาใช้งานได้เพื่อให้ภาพดูเป็นปัจจุบันมากขึ้นกว่าเดิมครับ ภาพไหนเบลอๆ ก็จะได้ AI เข้ามาปรับให้คมชัดขึ้น

ประสิทธิภาพ การเล่นเกม และแบตเตอรี่

ชิปเซ็ตตัวท็อป Dimensity 9300+ เล่นเกมลื่น ใช้งานไม่มีสะดุด

vivo X200 FE ขับเคลื่อนด้วยหน่วยประมวลผล MediaTek Dimensity 9300+ เป็นชิปแบบ Octa-core ความเร็ว Clock สูงสุด 3.4GHz ซึ่งชิปนี้ก็ยังคงเร็วและแรงในปีนี้อยู่ ใช้งานได้ลื่นๆ เล่นเกมทุกเกมได้ทั้งหมด ปรับภาพสูงๆ ได้เช่นกัน ขณะที่ GPU ก็ใช้เป็น Immortalis-G720 ครับ

RAM ให้มา 12GB + 12GB รวมเป็น 24GB !!

รุ่นนี้ให้ RAM มาที่ 12GB อยู่แล้ว โดยยังรองรับเพิ่ม RAM เสมือนได้อีก 12GB รวมเป็น 24GB ทำให้การทำงานแอปพื้นหลังทำได้เยอะมากขึ้นโดยแอปสามารถใช้งานได้ต่อเนื่องทันทีครับ

ผลการทดสอบบน AnTuTu v10 และ Geekbench 6

  • ผลคะแนนการทดสอบด้านประสิทธิภาพด้าน CPU, GPU และหน่วยความจำบน AnTuTu v10.3.6 ได้มาที่ 2,007,195 คะแนน
  • ผลคะแนนด้าน CPU บน Geekbench 6 ทำ Single-Core ไปที่ 2,232 คะแนน และ Multi-Core ที่ 7,137 คะแนน

ทดสอบการเล่นเกมกันสักหน่อย

ROV

ขอเริ่มกันด้วย ROV กันเลย เกมนี้สามารถเปิดภาพทุกอย่างให้สูงสุดทั้งหมดได้เลย รวมถึงเฟรมเรทก็สูงได้เช่นกันครับ การเล่นในเกมก็ลื่นตั้งแต่ต้นถึงท้ายเกมเลย ไม่มีสะดุดสักนิด โดยภาพ แสง และเงาต่างๆ ก็คมชัด สวยงามมาก ขณะที่เฟรมเรทก็วิ่งคงที่ประมาณ 59-60fps ตลอดทั้งเกม

PUBG Mobile

ส่วนเกม PUBG Mobile ก็ปรับภาพให้สวยๆ ระดับ Ultra HDR + เฟรมเรท Ultra ได้เลยครับ การเล่นในเกมจริงๆ ก็ลื่นสุดๆ และก็ยังได้ประโยชน์จากลำโพงสเตอริโอคู่อีกด้วย ไม่ว่าศัตรูจะอยู่ซ้าย-ขวา หรือจะใกล้-ไกลก็ฟังออกได้ไม่ยากเลยครับ

Garena Delta Force

ท้ายสุดขอเป็น Garena Delta Force เราปรับภาพเป็น Ultimate พร้อมเฟรมเรท Ultra ซึ่งลองเล่นแล้วก็ไหลลื่นมากๆ การตอบสนองการกดหน้าจอทำได้ยอดเยี่ยม ส่วนกราฟิกในเกมก็คมกริบจริงๆ

พลังแบตฯ BlueVolt 6500mAh ใช้งานเต็มวัน พร้อมชาร์จเร็ว 90W FlashCharge

แม้ว่าตัวเครื่องจะขนาดเล็กกะทัดรัดมากๆ แต่ด้วยแบตเตอรี่ BlueVolt ก็ทำให้ vivo X200 FE มีความจุได้มากถึง 6500mAh ทำให้ใช้งานแบบทั่วไปได้เต็มวันแน่นอน ชาร์จครั้งเดียวตอนเช้าก็อยู่ได้ถึงเย็น

หรือถ้าแบตเตอรี่จะใกล้หมดจริงๆ ก็ชาร์จเร็ว 90W FlashCharge ซึ่งใช้เวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมงก็เต็ม 100%

กล้อง ZEISS Professional Imaging ทรงพลังระดับเรือธง

แม้เครื่องจะเล็กและกระชับขนาดนี้ แต่พลังของกล้องหลังของ vivo X200 FE นั้นยังถูกอัดแน่นด้วยพลังของ ZEISS Professional Imaging แบบเดียวกับรุ่นพี่ใน vivo X200 Series ด้วย ซึ่งการถ่ายภาพยังทำได้เต็มที่ เต็มประสิทธิภาพทุกเลนส์ ซึ่งเราขอสรุปย่อๆ สเปกกล้องหลังและกล้องหน้าไว้ให้อีกรอบ ตามนี้

  • เลนส์หลัก 50MP, f/1.88 เซ็นเซอร์ IMX921 VCS Bionic, 1/1.56″ และ OIS
  • เลนส์ Ultra Wide-Angle 8MP, f/2.2
  • เลนส์ Super Telephoto 3x (Periscope) 50MP, f/2.65 เซ็นเซอร์ IMX882, 1/2″
  • กล้องหน้า ZEISS 50MP รูรับแสง f/2.0

กล้องถ่ายได้อย่างอิสระสร้างสรรค์ได้เต็มที่จากพลัง ZEISS

vivo X200 FE ได้พลังกล้องจาก ZEISS เข้ามาใช้งาน พร้อมใช้งานเซ็นเซอร์ Sony IMX921 แบบเดียวกับที่ใช้ใน X200 เลย การเก็บภาพก็คมชัดมากๆ แสงและเงาทำได้อย่างลงตัว ชัตเตอร์ไว รวมถึงการประมวลผลของภาพหลังถ่ายเสร็จก็ค่อนข้างไวด้วยครับ ส่วนโหมดการถ่ายภาพในรุ่นนี้ vivo ให้เราได้เลือก 3 แบบหลักๆ คือ TEXTURE (ภาพจะมีความคมชัดมากกว่าปกติ รวมถึงเพิ่ม Contrast ให้จัดขึ้น), VIVID (จะเป็นโหมดเริ่มต้นในการใช้งาน เน้นความสดใสของสี มีความสว่าง และความอิ่มสีก็สูงที่สุดในทั้ง 3 โหมด) และ ZEISS (ส่วนโหมดนี้ก็ตามชื่อเลยครับ เป็นโหมดที่ให้ความรู้สึกและอารมณ์ของภาพจากกล้อง ZEISS เลย มีความสมจริง แต่ยังคงคมชัด สีสันสดใส แต่ยังไม่เท่าโหมด VIVID ครับ)

นอกจาก 3 โหมดหลักที่ใส่เข้ามาในรุ่นนี้แล้ว ก็ยังมีโหมดฟิล์มอีก 3 แบบ ที่ให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันพอสมควร ทำให้เราสนุกกับการถ่ายภาพขึ้นไปอีกขั้นแน่นอน ซึ่งแต่ละอย่างมีอะไรบ้าง เรามาดูกันครับ

  • ฟิล์ม NC : เนกาทีฟคลาสสิก (Classic Negative) โหมดนี้จะให้ความรู้สึกที่โทนสีแดงขึ้นมาเล็กๆ และมีการเพิ่มความหยาบของภาพขึ้นมานิดหน่อย ทำให้เหมาะกับภาพถ่ายแนววินเทจครับ
  • ฟิล์ม CC : ฟิล์มโพสิทีฟ (Positive Film) โหมดนี้เน้นไปเรื่องสีสันที่สมจริงและช่วงไดนามิกสูง จะเน้นการถ่ายภาพ Street หรือบรรยากาศต่างๆ ก็ได้ทั้งหมด
  • ฟิล์ม VB : ฟ้าใส (Clear Blue) ในโทนนี้จะออกเป็นสีเทามากขึ้น เพิ่มความชัดของแสงและเงามากขึ้นครับ

กล้องซูมไกลสุด 100x ด้วยเลนส์ Super Telephoto ที่ปรับแต่งมาเพื่อ X200 FE โดยเฉพาะ

vivo X200 FE ยังได้ใส่เลนส์ Super Telephoto เข้ามาให้ใช้งานกันด้วย หรือเอาง่ายๆ นี่ก็คือเลนส์ Periscope นั่นเองครับ ภายในมีการใส่ปริซึมเพื่อสะท้อนแสงเข้ามาให้สะท้อนเข้าเซ็นเซอร์ได้ ซึ่งการจัดวางปริซึมในรุ่นนี้ก็เป็นแบบใหม่ เพราะเครื่องมีขนาดเล็ก มีการให้แสงวิ่งผ่านเลนส์ในรูปแบบ M-shaped แทนที่จะเป็น L-shaped แบบเดิม ทั้งนี้ถ้าลองมองชัดๆ จะเห็นว่าเลนส์ Periscope ของรุ่นนี้จะเป็นทรงกลม ต่างจากของ X200 หรือ X200 Pro ที่เป็นโมดูลกล้องทรงเหลี่ยมครับ

การทำแบบนี้ก็ทำให้มีระยะการซูมได้สูงสุดถึง 100x โดยการซูมนั้นทำได้ยอดเยี่ยมมากในระยะต่างๆ เริ่มตั้งแต่ 3x (73 มม.), 3.6x (89 มม.), 5.8x (141 มม.), 10x (243 มม.), 12.9x (313 มม.), 25.7x (626 มม.) และไกลสุดที่ 100x (243 มม.) แต่แนะนำว่าถ้าจะยังให้ถ่ายภาพได้อย่างคมชัดอยู่ไม่ควรเกินประมาณ 20x ครับ ซึ่งยังได้ภาพที่มีความคมชัดและมีการปรับแต่งรายละเอียดของภาพด้วย AI อยู่

จากการที่มีเลนส์ Super Telephoto มาให้ X200 FE ก็ยังมีโหมดเวที หรือ Stage Mode แบบเดียวกับที่ใส่มาใน X200 Series ด้วยครับ เหมาะมากๆ กับการถ่ายภาพคนบนเวที คอนเสิร์ต หรืออีเวนต์ต่างๆ เพราะจะมีการปรับแสงและเงาให้เหมาะสมมากขึ้น และก็ทำได้ดีในระดับเดียวกับตัวท็อปอย่าง X200 ที่ใช้เซ็นเซอร์ IMX882 เหมือนกันครับ

ZEISS Multifocal Portrait ถ่ายสวยหลายระยะในระดับเรือธง

ด้วยความที่เป็นตระกูลเรือธงของ vivo อย่าง X200 Series ใน X200 FE ก็ยังใส่ฟีเจอร์การถ่ายพอร์ตเทรตขั้นสูงด้วย ZEISS Multifocal Portrait ที่มีให้เราใช้งานได้หลายระยะ โทนสีผิวเป็นธรรมชาติมากๆ ไม่ติดเหลืองเลย มีความสว่างสมจริง ตัดขอบรอบตัวได้ยอดเยี่ยมและแม่นยำสุดๆ ที่สำคัญแต่ละระยะก็มีการเบลอตามโบเก้สไตล์ ZEISS ฉากหลังที่แตกต่างกันถึง 6 แบบ ดังนี้

  • ระยะ 23mm Landscape Portrait + ZEISS Distagon Style Bokeh
  • ระยะ 35mm Street Portrait + ZEISS B-Speed Style Bokeh
  • ระยะ 50mm Natural Portrait + Classic Bokeh
  • ระยะ 50mm Classic Portrait + ZEISS Biotar Style Bokeh
  • ระยะ 85mm Figure + ZEISS Sonnar Style Bokeh
  • ระยะ 100mm Close-Up + ZEISS Planar Style Bokeh

AI Erase ลบคนหรือวัตถุที่ไม่ต้องการได้ง่ายไม่กี่คลิก

เวลาที่เราถ่ายติดคนหรือสิ่งรบกวนด้านฉากหลัง เราก็สามารถใช้ AI Erase ในการลบได้เลยทันที โดย AI จะตรวจจับฉากหลังหรือวัตถุที่คาดว่าจะเป็นสิ่งรบกวนได้อย่างแม่นยำ และก็มีการเติมแต่งให้ครบองค์ประกอบได้แบบสมบูรณ์เลยครับ

AI Image Expander ขยายภาพให้ครบองค์ประกอบ

ใน AI โหมดนี้จะเป็นการขยายฉากในภาพที่เราต้องการ โดยใช้ AI ในการขยายองค์ประกอบในภาพให้ใกล้เคียงกับสิ่งที่มีอยู่ในภาพต้นฉบับ และก็ทำออกมาได้เนียนอีกด้วย

AI Magic Move เคลื่อนย้ายคนหรือวัตถุได้ตามต้องการ

อีกฟีเจอร์ AI ที่น่าจะได้ใช้งานกันบ่อยน่าจะเป็น AI Magic Move ที่เป็นการเคลื่อนย้ายวัตถุหรือคนในภาพไปอยู่ในที่ที่เราต้องการได้เลยแบบอิสระง่ายๆ เพียงให้เลือกรูปที่ต้องการ กดค้างวัตถุ/คนที่ต้องการ จากนั้นก็เลือก ‘การเคลื่อนย้ายอัจฉริยะ’ จัดวางในตำแหน่งที่ต้องการได้เลย และกด ‘สร้างทันที’ ก็เป็นอันเรียบร้อยครับ

Ultra-Wide ถ่ายกว้าง 120 องศา

แม้ว่า Ultra-Wide ที่ให้มาจะเป็น 8MP แต่เรื่องสีสดยังต้องยอมในรุ่นนี้ รวมถึงมุมมองอยู่ที่ 120 องศา ที่กำลังพอดีๆ ภาพยังมีความคมชัด ปรับแต่งด้วย AI ได้ลงตัวอยู่เหมือนกัน

เซลฟี่สวยจาก ZEISS 50MP

บอกเลยว่าอีกตัวชูโรงในรุ่นนี้คือกล้องหน้าที่ยังเอาใจสายเซลฟี่ได้ยอดเยี่ยมเลยด้วยเลนส์ 50MP ใบหน้าคมชัด ปรับแต่งมาแบบกำลังพอดีมากๆ ไม่จัดเกิน ยังคงความเป็นธรรมชาติ และการเบลอหลังก็ทำได้เยี่ยม เก็บขอบได้คมกริบ

สรุปการใช้งาน vivo X200 FE

บอกเลยว่าคนที่ชอบสมาร์ตโฟนขนาดเล็ก ใช้งานมือเดียวได้แบบสบายๆ กระชับมือ vivo X200 FE คือตอบโจทย์ที่สุดแล้วครับ ใช้งานได้เข้ามือสุดๆ ดูคล่องตัวไปหมด เพราะนอกจากจะได้ดีไซน์แบบกระชับแล้ว แต่ยังได้สีสันที่สวยงามมากๆ งานประกอบพรีเมียม สีสันที่สวยทุกสี ทั้ง Pink Vibe และ Blue Breeze

และแม้ว่าเครื่องจะเล็ก แต่สเปกอัดแน่นมาเต็มสูบ ตั้งแต่ชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 9300+ ใช้งานเร็วและแรง เครื่องไม่ร้อนเกินไป (ถ่ายรูปต่อเนื่องเป็นชั่วโมงก็ไม่ตัดหรือหรี่แสงหน้าจอลงเลย) ได้หน้าจอ AMOLED 6.31 นิ้ว 120Hz ใช้งานลื่นๆ ติดนิ้ว รวมถึงกล้องหลังจาก ZEISS สเปกกล้องหลายอย่างเทียบกับรุ่นพี่ X200 ได้สบาย และแบตเตอรี่ที่ได้มาแบบ Bluevolt ถึง 6500mAh ใช้งานเต็มวันจริงๆ แล้วยังชาร์จเร็วถึง 90W FlashCharge อีกด้วยครับ

ราคา vivo X200 FE

vivo X200 FE ในไทยมีให้เลือกทั้งหมด 4 สี ได้แก่ ชมพู (Pink Vibe), ฟ้า (Blue Breeze), เหลือง (Yellow Glow) และดำ (Black Luxe) โดยมีความจุเดียว คือ RAM 12GB + ROM 512GB ราคา 24,999 บาท โดยสามารถสั่งซื้ออย่างเป็นทางการได้แล้ววันนี้ครับ

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

This website uses cookies to improve your experience. We'll assume you're ok with this, but you can opt-out if you wish. Accept Read More