
มาตามนัดแล้วสำหรับรีวิว realme GT 7 Series ที่มาด้วยกัน 2 รุ่น คือ realme GT 7 และ realme GT 7T สมาร์ตโฟนทรงพลังแบบไม่มีที่สิ้นสุด พร้อมสยบเรือธงทุกรุ่นด้วยการเป็น ‘The 2025 Flagship Killer’ จัดสเปคขั้นสุดทั้งชิปประมวลผล หน้าจอที่ใช้งานได้เต็มที่ กล้อง AI Travel Snap พร้อม Hyperimage+ และดีไซน์ที่ปรับมาให้ลงตัวกว่าเดิม
สรุปสเปค realme GT 7
- ขนาดตัวเครื่อง : 162.42 × 76.13 × 8.3 มม.
- น้ำหนัก : 206 กรัม
- หน้าจอแสดงผล AMOLED ขนาด 6.78 นิ้ว ความละเอียด 1.5K+ (2780 x 1264 พิกเซล) รองรับ Refresh Rate 120Hz, Touch Sampling Rate 360Hz, 2160Hz PWM Dimming, Contrast Ratio 5000000:1 รองรับ HDR 10+, สัดส่วนพื้นที่ต่อหน้าจอ 93.9%, 100% DCI-P3 ความสว่างสูงสุด 6000 นิต และแสดงผล 1.07 พันล้านสี
- หน่วยประมวลผล : MediaTek Dimensity 9400e Octa-core ความเร็ว 3.4GHz
- GPU : Arm Immortalis-G720
- RAM : 12GB LPDDR5X
- ROM : 512GB UFS 4.0
- กล้องถ่ายรูปด้านหลัง 3 เลนส์ดังนี้
- เลนส์หลัก 50MP รูรับแสง f/1.8 เซ็นเซอร์ Sony IMX906, 1/1.56″ รองรับกันสั่น OIS
- เลนส์ Telephoto 2x 50MP รูรับแสง f/2.0 เซ็นเซอร์ S5KJN5, 1/1.28″ รองรับกันสั่น OIS
- เลนส์ Ultra-Wide 8MP รูรับแสง f/2.2 มุมกว้าง 112 องศา เซ็นเซอร์ OV08D10
- กล้องหน้า 32MP รูรับแสง f/2.4 เซ็นเซอร์ Sony IMX615
- ระบบปฏิบัติการ Android 15 ครอบทับด้วย realme UI 6.0
- รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 7, Bluetooth 5.4, NFC 360 องศา และพอร์ต USB Type-C
- แบตเตอรี่ Titan ความจุ 7000mAh ชาร์จเร็ว 120W Ultra Charge
สรุปสเปค realme GT 7T
- ขนาดตัวเครื่อง : 162.42 × 75.97 × 8.25 มม.
- น้ำหนัก : 202 กรัม
- หน้าจอแสดงผล AMOLED ขนาด 6.8 นิ้ว ความละเอียด 1.5K+ (2800 x 1280 พิกเซล) รองรับ Refresh Rate 120Hz, Touch Sampling Rate 360Hz, Contrast Ratio 5000000:1 รองรับ HDR 10+, 100% DCI-P3 ความสว่างสูงสุด 1800 นิต และแสดงผล 1.07 พันล้านสี
- หน่วยประมวลผล : MediaTek Dimensity 8400-MAX Octa-core ความเร็ว 3.25GHz
- GPU : Mali-G720 MC7
- RAM : 12GB LPDDR5X
- ROM : 256GB UFS 4.0
- กล้องถ่ายรูปด้านหลัง 2 เลนส์ดังนี้
- เลนส์หลัก 50MP รูรับแสง f/1.8 เซ็นเซอร์ Sony IMX896, 1/1.56″ รองรับกันสั่น OIS
- เลนส์ Ultra-Wide 8MP รูรับแสง f/2.2 มุมกว้าง 112 องศา เซ็นเซอร์ OV08D10
- กล้องหน้า 32MP รูรับแสง f/2.4 เซ็นเซอร์ Sony IMX615
- ระบบปฏิบัติการ Android 15 ครอบทับด้วย realme UI 6.0
- รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 6, Bluetooth 6.0, NFC 360 องศา และพอร์ต USB Type-C
- แบตเตอรี่ Titan ความจุ 7000mAh ชาร์จเร็ว 120W Ultra Charge
แกะกล่อง realme GT 7 Series กัน !
เรามาแกะกล่องทั้ง 2 รุ่นให้ชมกันก่อน ทั้ง 2 รุ่นหลายอย่างที่คล้ายกันทั้งหมด ตั้งแต่กล่องสีดำพร้อมชื่อรุ่นสีเงินตัดอย่างสวยงามที่อยู่ตรงกลาง ทั้ง GT 7 หรือ GT 7T โดยมีแบรนด์ realme ตรงส่วนล่างครับ

แกะออกมาชั้นแรกจะเจอตัวกล่องสีดำที่ใส่อุปกรณ์เสริมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเคสซิลิโคนสีดำเหมือนกัน พร้อมด้วยเข็มเปิดถาดซิม และคู่มือการใช้งานเบื้องต้น


อีกชั้นจะเป็นตัวเครื่องที่ถูกใส่ซองกระดาษสีขาวไว้อย่างดี โดยตัวเครื่องที่ติดฟิล์มกันรอยที่หน้าจอไว้เรียบร้อยครับ

และท้ายสุดจะเป็นหัวชาร์จ 120W SUPERVOOC และสาย USB Type-A to Type-C ครับ


ครั้งแรกของโลกในดีไซน์ IceSense Design
เป็นอีกครั้งที่ realme ทำถึงเรื่องดีไซน์ โดยรอบนี้ realme GT 7 และ realme GT 7T มาในดีไซน์ที่มีความสวยงามมากขึ้น ไม่ได้ดูโฉบเฉี่ยวตามสไตล์ที่ต้องดูเข้มขรึมตามสไตล์หลักของ realme GT ทำให้เราเข้าถึงได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมนั่นเองครับ

เปิดด้วยตัวหลัก realme GT 7 มาด้วยกัน 2 สี คือ IceSense Black และ IceSense Blue ซึ่งทั้งคู่มีสไตล์ที่แตกต่างกันมาก โดยสีที่เราได้มาเป็นสีฟ้า IceSense Blue จะได้ความสดใสขึ้นมาชัดเจน ดูทันสมัย และมีชีวิตชีวิตวากว่าเดิมครับ

ซึ่งสีฟ้า IceSense Blue จะเป็นวัสดุฝาหลังผิวมันเงาแต่ก็มีความด้านในตัว ทำให้ไม่ติดคราบรอยนิ้วมือเลย ทำให้เรารักษาความสะอาดตัวเครื่องได้ง่ายมากๆ ครับ

ที่ขอบตัวเครื่องจะเป็นแบบแบนเรียบ 100% แต่ตรงขอบฝาหลังจะแอบมีความโค้งเล็กๆ เพื่อให้เราจับถือได้ง่าย ไม่บาดมือจนเกินไป และที่ชอบอีกอย่างเลยคือความหนักของเครื่องที่อยู่ 206 กรัมนั้นเฉลี่ยน้ำหนักได้ดีมาก ไม่เทไปที่ส่วนกล้องมากนัก ทำให้จับถนัดมือแน่นอนครับ

พามาดูดีไซน์ของ realme GT 7T กันอีกเล็กน้อย เราได้สีฟ้า IceSense Blue มาเหมือนกันและมีการไล่ระดับพร้อมโทนสีแบบเดียวกันเป๊ะๆ ครับ

มาพร้อมแผ่นระบายความร้อน Graphene ควบคุมความร้อนได้เร็วเป็นครั้งแรกของอุตสาหกรรม !
ภายในตัวเครื่องของ realme GT 7 Series มาพร้อมแผ่นระบายความร้อนแบบ Graphene ผสานกับไฟเบอร์กลาสสุดล้ำที่เป็นฝาครอบแบตเตอรี่ครั้งแรกของอุตสาหกรรม ซึ่งช่วยให้เราได้สัมผัสความเย็นที่ลดลงถึง 6 องศาเพราะการนำความร้อนที่ดีมากขึ้น

ความพิเศษของ IceSense Graphene ยังเป็นดีไซน์แบบ “อุณหภูมิที่สัมผัสได้” โดยจะให้เราได้สัมผัสถึงความเย็นที่รู้สึกได้นั่นเองครับ ทำให้ได้ความเย็นและความสดชื่นในฤดูร้อน ทำให้เราใช้งานได้อย่างสบายมือไม่ว่าจะอยู่ในฤดูไหนหรือสถานการณ์ไหนก็ตาม

และหากสังเกตกันดีๆ ที่ฝาหลังของ realme GT 7 ตรงมุมขวาบนได้ใส่สัญลักษณ์ Graphene เข้ามาด้วย ซึ่งเป็นการบอกเราไว้เลยว่านี่คือสมาร์ตโฟนที่ใส่นวัตกรรมใหม่ของอุตสาหกรรมนี้เอาไว้

สำหรับแผ่น Graphene มีพื้นที่ประมาณ 4,000 ตารางมิลลิเมตร ซึ่งครอบคลุมแหล่งความร้อนหลักและนำความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังมีประสิทธิภาพในการนำความร้อนได้ดีกว่าฝาครอบไฟเบอร์กลาสมาตรฐานถึง 24 เท่าเลยทีเดียว

ทดสอบการนำความร้อนของ Graphene กันสักหน่อย
สำหรับแผ่น Graphene ที่เป็นตัวระบายความร้อนที่ใช้ภายใน realme GT 7 Series บอกเลยว่านำความร้อนได้ดีมากๆ เพื่อให้ใช้งานเต็มประสิทธิภาพตลอดเวลา ซึ่งพูดแล้วคงไม่เห็นภาพ เราเลยได้ตัว Graphene ของจริงมาทดสอบการนำความร้อนให้ชมกันเลย โดยนำมาเทียบกับแผ่นทองแดง (Copper) ครับ
เราได้นำน้ำแข็งมาวางบนแผ่น Graphene ไว้ฝั่งหนึ่ง และเป่าลมร้อนในอีกฝั่งเพื่อให้นำความร้อนไปถึงตรงน้ำแข็ง จะเห็นเลยว่าประมาณ 20 วินาทีน้ำแข็งก็เริ่มละลายเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งเป็นการละลายที่เร็วกว่าการวางบนแผ่นทองแดงที่ใช้เวลากว่า 1.30 นาทีกว่าที่น้ำแข็งอีกฝั่งจะเริ่มละลายครับ ทั้งหมดเรามีการทดสอบจริงไว้ตามคลิปด้านล่างนี้เลย !!
realme GT 7T ได้ Airflow VC ขนาดใหญ่สุดของอุตสาหกรรมนี้ !
ทั้งนี้ในส่วนรุ่นน้อง realme GT 7T จะได้การระบายความร้อนแบบ Airflow VC (Vapor Chamber) ขนาดใหญ่ 7,700 ตร.มม. ซึ่งเป็นขนาดที่ใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมในตอนนี้ คิดเป็น 65% ของพื้นที่บนสมาร์ทโฟนเลยทีเดียวล่ะครับ และด้วยขนาดที่ใหญ่ก็ทำให้อากาศเย็นภายนอกสามารถถ่ายเทและถูกระบายออกได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมด้วย

ทนน้ำทนฝุ่นจัดหนักด้วยมาตรฐาน IP68/69
IP68/69 เป็นมาตรฐานการทนน้ำและฝุ่นที่ใส่เข้ามาในทั้ง 2 รุ่นครับ ซึ่งทนทานได้ทั้งละอองฝนหรือฝุ่น รวมถึงสามารถดำน้ำสะอาดได้ลึกมากถึง 1.5 เมตร นานสูงสุดถึง 30 นาทีครับ

หน้าจอจัดเต็มแบบ AMOLED คมขัด 1.5K พร้อมสว่างสูงสุด 6000 นิต
หน้าจอแสดงผลของ realme GT 7 Series จัดเต็มเรื่องหน้าจอทั้งคู่ในสเปคที่เหมือนกันเลยครับ เป็นพาเนล AMOLED ที่ขึ้นชื่อเรื่องความสดใสของสีสันอยู่แล้ว ขณะที่ realme GT 7 มีขนาดอยู่ที่ 6.78 นิ้ว ความละเอียด 1.5K ทำให้รับชมวิดีโอต่างๆ ได้เต็มที่แบบจุใจครับ โดยยังรองรับ HDR10+, Contrast Ratio 5000000:1, 100% DCI-P3 แถมขอบหน้าจอก็บางเฉียบมากๆ ทำให้ได้สัดส่วนพื้นที่ต่อหน้าจอมากถึง 93.9% และแสดงผลได้มากถึง 1.07 พันล้านสีครับ


ส่วนในรุ่น realme GT 7T มีความแตกต่างเล็กน้อยตรงที่ได้หน้าจอใหญ่ขึ้นมาเป็น 6.8 นิ้ว ความละเอียด 1.5K+ (2800 x 1280 พิกเซล) ครับ ส่วนนอกเหนือนั้นจะเหมือนกับตัว realme GT 7 เลยครับ

ความไหลลื่นของหน้าจอยังให้มาที่ Refresh Rate 120Hz พร้อม Sampling Rate 360Hz เรียกได้ว่าเอาใจสายเกมที่าต้องได้การตอบสนองหน้าจอที่เร็วและเรียลไทม์ให้ได้มากที่สุด บอกเลยว่า realme GT 7 Series ทั้ง 2 รุ่นนั้นตอบโจทย์จริงๆ ครับ

และในการใช้งานในที่แสงกลางแจ้ง รุ่นนี้ก็เอาอยู่แบบสบายๆ เพราะได้ความสว่างสูงสุดถึง 6000 นิตเมื่อเปิดโหมดการปรับแบบอัตโนมัติครับ

พาชมรอบเครื่องกันอีกหน่อย
พลิกมาดูรอบๆ เครื่องกันอีกหน่อย ทั้ง 2 รุ่นมีตำแหน่งต่างๆ เหมือนกันเลย ตั้งแต่กล้องหน้าจะเป็นแบบ Punch Hole ตรงกลาง และมีลำโพงสเตอริโอที่อยู่ตรงขอบมาให้ครับ

ฝั่งขวาของจะให้ปุ่มเพิ่ม/ลดเสียงมาให้ ถัดลงมาตรงปุ่มส้มๆ จะเป็นปุ่ม Power ที่ดูแล้วสีนี้ตัดกับสีฟ้าของขอบเครื่องได้สวยงาม

ที่ด้านล่างจะเป็นช่องใส่ซิมการ์ดแบบ nanoSIM 2 ช่อง ไม่มีช่อง MicroSD Card มาให้ ถัดไปจะเป็นไมโครโฟน พอร์ต USB-C และลำโพงสเตอริโออีกตัวครับ


ส่วนฝั่งตรงข้ามที่ส่วนบนจะมีเซ็นเซอร์ IR Blaster เพื่อใช้เป็นรีโมทในการควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านได้เลย พร้อมด้วยไมโครโฟนตัวที่ 2 เพื่อการตัดเสียงรบกวนครับ

ท้ายสุดที่กล้องหลังเป็นโมดูลกล้องหลังทรงสี่เหลี่ยมที่มีความมนทั้ง 4 ด้านเหมือนกัยทั้งคู่ ซึ่ง realme GT 7 ได้ฐานสีดำจะมี 3 วง ซึ่ง 2 วงฝั่งซ้ายจะเป็นกล้องเลนส์หลักและเลนส์ Telephoto 2x ส่วนวงด้านขวาจะเป็นเลนส์ Ultra-Wide และไฟแฟลช Dual LED ทั้งนี้ที่ขอบด้านนอกฐานจะมีสัญลักษณ์ HYPERIMAGE+ ที่เป็นเทคโนโลยีการถ่ายภาพของ realme นั่นเองครับ

ขณะที่ realme GT 7T จะคล้ายกันกันมากๆ ต่างแต่ฝั่งขวาจะมีเพียงไฟแฟลชทรงกลมเท่านั้น ไม่มีเลนส์ที่ 3 ครับ

ซอฟต์แวร์ และฟังก์ชั่นการใช้งาน
ระบบปฏิบัติการ Android 15 พร้อม realme UI 6.0 ใช้งานเต็มที่ด้วย NEXT Ai
แน่นอนว่า realme GT 7 Series ทั้ง 2 รุ่นแกะกล่องมาพร้อมระบบปฏิบัติการ Android 15 ครอบทับด้วย realme UI 6.0 ซึ่งมีความเสถียรในการใช้งานมากที่สุดในตอนนี้ของแบรนด์ ทั้งยังมีฟีเจอร์ NEXT Ai เข้ามาช่วยในเรื่องการใช้งานเป็นมือขวาของเราอีกด้วยครับ

สแกนลายนิ้วมือสบายและความปลอดภัยสูง
ทั้ง 2 รุ่นนี้รองรับการสแกลายนิ้วมือที่มีความปลอดภัยสูงและแม่นยำ แค่แตะก็ปลดล็อคหน้าเลยทันที และแม้ว่านิ้วมือจะเปียกน้ำก็ยังใช้งานได้เช่นกันครับ

ลำโพงสเตอริโอ เสียงดังกระหึ่ม ใช้งานจุใจ
ทั้ง realme GT 7 และ GT 7T ใส่ลำโพงคู่แบบสเตอริโอมาให้ เสียงดังจัดเต็ม จุใจทั้งการรับชมวิดีโอ ภาพยนตร์ หรือการเล่นเกมครับ

AI Planner ผู้ช่วยวางแผนตารางเวลาให้อัตโนมัติเป็นครั้งแรกของโลก
AI Planner เป็นฟีเจอร์ AI ครั้งแรกของโลกที่ใส่เข้ามาใน realme GT 7 Series โดยจะเป็นการการสร้างตารางลงในปฏิทินตามเนื้อหาบนหน้าจอแบบทันที ซึ่งถือเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะที่อยู่ในมือเราเลยครับ
การเปิดใช้งาน AI Planner ครั้งแรกให้เข้าไปที่การตั้งค่า > การช่วยเหลือพิเศษและความสะดวก > AI Planner > เปิดใช้งาน

ในการใช้งานก็ง่ายมากๆ แค่ใช้นิ้วแตะที่ฝาหลังเครื่อง 2 ครั้งติดกัน จากนั้น AI Planner จะจดจำหน้าจอที่มีวันเวลาของกิจกรรมต่างๆ และเมื่อ AI ทำงานเสร็จแล้วก็จะให้เราดูนัดหมายว่าวัน เวลา และสถานที่ตรงกับที่ต้องการหรือไม่ (จากที่ลองแล้ว ตรงเป๊ะทุกครั้งครับ แต่เรื่องเวลา ถ้าหากเป็นเวลาต่างประเทศอาจจะต้องปรับใหม่อีกครั้งครับ)



โดยการทำงานนี้ใช้งานได้ทั้งผ่านแอปพลิเคชั่นโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook หรือ Instagram รวมถึงแอปเมลต่างๆ และในแชทที่เรานัดหมายเพื่อนๆ ไว้ก็ได้ทั้งหมดเลย


NEXT Ai ยังมีให้ใช้งานกันเหมือนเดิม !
ไม่ใช่แค่ AI Planner ที่เป็นผู้ช่วยของเราเท่านั้น แต่ก็ยังมี NEXT Ai เสริมเข้ามาเช่นกันครับ ทั้ง AI Translator และ AI Eraser 2.0 ซึ่งแต่ละอย่างคืออะไร เราพามาชมกันครับ
- การแปลอย่างฉลาดด้วย AI Translator : AI Translator เป็นการแปลภาษาตามชื่อเรียกเลย ซึ่งแปลได้จากการรับชมบนเบราว์เซอร์หรือภาพบนหน้าจอ รวมถึงการแปลการสนทนาแบบเรียลไทม์ได้เลย

- ลบสิ่งที่ไม่ต้องการได้เก่งขึ้นด้วย AI Eraser 2.0 : ฟีเจอร์นี้เป็นการลบวัตถุที่เราไม่ต้องการในภาพแบบอัตโนมัติ ซึ่งนี่เป็นเวอร์ชัน AI Eraser 2.0 ที่อัปเกรดให้เนียนตาและแม่นยำมากขึ้นกว่าเดิม

ประสิทธิภาพ การเล่นเกม และแบตเตอรี่
ชิปเซ็ตทรงพลัง MediaTek Dimensity แรงระดับเรือธง !!
บอกเลยว่าชิปเซ็ตที่ใช้ในงานทั้ง 2 รุ่นนี้คือทรงพลังระดับเรือธงจริงๆ โดยขอเริ่มด้วยตัว realme GT 7 ที่จัดชิปใหม่จาก MediaTek อย่าง Dimensity 9400e ที่ถูกใช้เป็นรุ่นแรกของโลก เป็น CPU แบบ Octa-core ความเร็ว Clock สูงสุด 3.4GHz แถมชิปตัวนี้ก็เป็นติด 3 อันดับแรกในการจัดอันดับประสิทธิภาพระบบปฏิบัติการฝั่ง Android

มาดูข้อมูลชิปตัวนี้กันอีกเล็กน้อยครับ Dimensity 9400e มาพร้อมกระบวนการผลิตขนาดเล็ก 4nm จาก TSMC ใช้คอร์ประมวลผล Cortex-X4 แบบเดียวกับชิปคู่แข่งอย่าง Qualomm Snapdragon 8 Gen 3 แต่ได้ความเร็ว Clock ที่สูงกว่า คู่กับ GPU Arm Immortalis-G720 และ APU ด้านการประมวลผลด้าน AI ที่แรงกว่าเช่นกัน ส่งผลให้คะแนน AnTuTu แรงกว่า Snapdragon 8 Gen 3 ถึง 200,000 คะแนน

ขณะที่ realme GT 7T ใช้ชิป MediaTek Dimensity 8400-MAX แบบ Octa-core ความเร็ว Clock สูงสุด 3.25GHz พร้อม GPU Mali-G720 ซึ่งเป็นชิปความแรงตัวรองท็อปที่ให้เราได้ใช้งานกันแบบลื่นๆ ไม่แพ้ตัวรุ่นพี่เลยล่ะครับ

ผลการทดสอบคะแนนด้วยโปรแกรมต่างๆ ของ realme GT 7
- ผลคะแนนการทดสอบด้านประสิทธิภาพด้าน CPU, GPU และหน่วยความจำบน AnTuTu 10.4.9 ได้มาที่ 2,234,664 คะแนน
- ผลคะแนนด้าน CPU บน Geekbench 6 ทำ Single-Core ไปที่ 2,250 คะแนน และ Multi-Core ที่ 7,296 คะแนน
- ผลคะแนนประสิทธิภาพกราฟิกบน 3DMark Wild Life Extreme ทำได้ 5,280 แต้ม และเฟรมเรทเฉลี่ย 31.62FPS

ผลการทดสอบคะแนนด้วยโปรแกรมต่างๆ ของ realme GT 7T
- ผลคะแนนการทดสอบด้านประสิทธิภาพด้าน CPU, GPU และหน่วยความจำบน AnTuTu 10.4.9 ได้มาที่ 1,729,205 คะแนน
- ผลคะแนนด้าน CPU บน Geekbench 6 ทำ Single-Core ไปที่ 1,664 คะแนน และ Multi-Core ที่ 6,673 คะแนน
- ผลคะแนนประสิทธิภาพกราฟิกบน 3DMark Wild Life Extreme ทำได้ 4,035 แต้ม และเฟรมเรทเฉลี่ย 24.16FPS

มี AI Gaming Coach ช่วยให้เราเป็นผู้เชี่ยวชาญเกม PUBG ได้ในทันที !
ฟีเจอร์นี้จะเป็นตัวช่วยที่อยู่ใน GT Mode ที่จะเป็นตัวช่วย AI ที่ให้เราได้รับการแจ้งเตือนต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเดมได้แบบเรียลไทม์เพื่อให้เราไม่พลาดสิ่งที่เกิดขึ้นในเกมแน่นอนครับ โดยหลักๆ จะมีการแจ้งเตือน 2 แบบ ดังนี้
- Smart Danger Alerts หรือการแจ้งเตือนการเคืล่อนไหวโดยมีอัลกอริทึมในการระบุความเสี่ยงที่เกิดขึ้นเราอาจจะไม่ได้รับรู้ เช่น เสียงปืนในระยะไกล หรือชนิดของเสียงปืนที่ตรวจพบ เป็นต้น
- In-Game Status Updates คือการแจ้งเตือนที่เกี่ยวกับเพื่อนร่วมทีม ความทนทานของอาวุธต่างๆ หรือโซนการเล่นที่โดนบีบเข้ามาครับ



ทดสอบการเล่นเกมแบบจัดเต็ม
เห็น CPU แรงๆ เราก็ขอมาทดสอบการเล่นเกมให้ชมกันครับ ซึ่งจะเล่นแบบจัดเต็มถึง 4 เกม (ขอเน้นไปที่รุ่น realme GT 7) ทั้ง PUBG Mobile, ROV, Genshin Impact และ Asphalt Legends Unite โดยแต่ละเกมเล่นเป็นยังไง ปรับกราฟิกได้แบบไหนบ้าง มาดูกันครับ
PUBG Mobile

ขอเริ่มกันที่เกมหลัก PUBG Mobile ที่บอกเลยว่าเล่นได้เข้ามือกับ realme GT 7 Series แบบเต็มๆ ตั้งแต่การปรับกราฟิกที่ปรับได้ 2 แบบ คือ ปรับกราฟิกที่เน้นความสวยที่ปรับ Ultra HDR ได้ทั้งภาพและเฟรมเรท Ultra หรือจะเน้นความลื่นสูงสุดที่จะเป็ยภาพไหลลื่นและเฟรมเรท Ultra Extreme 120FPS ครับ ใครชอบแบบไหนก็เลือกกันได้เลย เพราะไม่ว่าจะปรับแบบไหนก็เล่นได้ลื่นทั้งคู่ ซึ่งตามที่เราเปิดสถานะระบบให้ดูกัน แบบ Ultra ก็วิ่งเต็มที่ 60FPS นิ่งสุดๆ หรือจะเป็นแบบลื่นๆ ก็วิ่งได้นิ่งมากๆ ที่ 120FPS แบบไม่มีงอแง




ROV

ต่อมาเป็น ROV กันบ้าง แน่นอนว่าตัวเกมเปิดทุกอย่างได้สูงสุดทั้งหมด มีอะไรใส่ให้หมดได้เลย ความสวยงามด้านกราฟิกจัดเต็ม แสงและเงาทำได้ดีมาก ไม่มีสะดุดตลอดทั้งเกม ไม่ว่าจะช่วงต้นเกมหรือช่วงใส่สกิลเต็มที่ในช่วง Late Game





Genshin Impact

ต่อกันด้วย Genshin Impact อีกเกมที่วัดเรื่องความแรงของ CPU ได้เลย และเกมนี้ใน realme GT 7 ก็เปิดกราฟิกได้สูงสุดทั้งหมด รวมถึง 60FPS ด้วย ภาพการเล่นสวยงาม ประมวลผลได้ไว ไม่เจออาการกระตุกอะไรเลย รวมถึงฉากต่อสู้ต่างๆ ก็ทำได้ยอดเยี่ยม เอฟเฟ็กต์แสดงมาได้ไหลลื่นเลยครับ





Asphalt Legends Unite

และท้ายสุดเป็นเกมรถแข่งภาพสวย Asphalt Legends Unite เราก็เปิดทุกอย่างสูงสุดพร้อมเฟรมเรท 90FPS เช่นกัน แต่การเล่น ตัวเกมรองรับที่ 60FPS ซึ่งก็เป็นขีดจำกัดแล้วครับ แต่ถ้าหากมีปลดล็อคก็แตะได้ถึง 90FPS แน่นอน





แบตเตอรี่ Titan 7000mAh ความจุใหญ่สุดของ realme
realme GT 7 Series ทั้ง 2 รุ่นให้แบตเตอรี่ไททันความจุสูงถึง 7000mAh ซึ่งเป็นความจุที่เยอะมากที่สุดที่ให้ความเร็วในการชาร์จมาเร็วถึง 120W Ultra Charge ซึ่งการใช้งานทำได้เต็มวันหากใช้งานทั่วไป ชาร์จตอนเช้า เล่นถึงเย็นก็ยังเหลือๆ ให้เราได้ “สนุกได้ตลอดทั้งวัน โดยแบตเตอรี่เหลือครึ่งเดียว” ส่วนใครที่มาสายเกมก็เล่นได้นานกว่าครึ่งวันแบบต่อเนื่องแล้วครับ ที่สำคัญยังการันตีสุขภาพแบตอยู่ที่ 80% ขึ้นไป เมื่อใช้งานนานถึง 5 ปี

อย่างที่บอกไปว่ารุ่นนี้ให้แบตเตอรี่เยอะที่สุดที่ให้ชาร์จเร็วสูง 120W ก็สามารถชาร์จจาก 1% – 50% ภายใน 14 นาที หรือ 1% – 100% ภายใน 40 นาทีเท่านั้นครับ

ใครที่เล่นเกมไปด้วยและต้องการชาร์จไปด้วย realme GT 7 Series ก็ยังมีฟีเจอร์ Smart Bypass เพื่อให้ชาร์จแบบพิเศษที่กระแสไปจะไม่ผ่านแบตเตอรี่แต่เข้าไปที่เมนบอร์ดโดยตรงเพื่อไม่ให้แบตเตอรี่เจอความร้อนเลยครับ ทำให้ได้ทั้งความปลอดภัยและแบตเตอรี่ก็ไม่เสื่อก่อนเวลาอีกด้วยครับ

เรียกว่า realme GT 7 Series ยังชูโรงเรื่องแบตเตอรี่มากจริงๆ ซึ่งก็ถูกการันตีด้วยการรับรอง 5 ดาวด้านแบตเตอรี่จาก TÜV Rheinland รายแรกของอุตสาหกรรม

กล้อง AI Travel Snap บันทึกช่วงเวลาของการเดินทางได้อย่างชัดเจน
มาจบกันที่เรื่องกล้องกันครับ จริงๆ แล้วแม้ว่า realme GT 7 Series จะเน้นเรื่องประสิทธิภาพในการเล่นเกมที่ทรงพลังเป็นหลัก รวมถึงดีไซน์ที่สวยงามและเทคโนโลยีต่างๆ ในการระบายความร้อน แต่ก็ยังไม่ทิ้งเรื่อง แถมยังทำได้ดีอีกด้วยเพราะได้เทคโนโลยี Hyperimage+ เข้ามาใช้งาน มี Street Mode ที่เป็นเอกลักษณ์ของ realme และอื่นๆ อีกเพียบที่ทำให้เราสนุกกับการถ่ายภาพ ไม่แพ้กับการเล่นเกมเลยล่ะครับ ว่าแล้ว.. เราก็ขอสรุปสเปคกล้องของทั้ง 2 รุ่นให้อีกรอบสั้นๆ ตามนี้เลย
สเปคกล้อง realme GT 7
- เลนส์หลัก 50MP, f/1.8, IMX906 รองรับกันสั่น OIS
- เลนส์ Telephoto 2x 50MP,f/2.0, S5KJN5
- เลนส์ Ultra-Wide 112 องศา 8MP, f/2.2, OV08D10
- กล้องหน้า 32MP, f/2.4, IMX615
สเปคกล้อง realme GT 7T
- เลนส์หลัก 50MP, f/1.8, IMX896 รองรับกันสั่น OIS
- เลนส์ Ultra-Wide 112 องศา 8MP, f/2.2
- กล้องหน้า 32MP, f/2.4, IMX615

พลังกล้อง Hyperimage+ ด้วยเซ็นเซอร์ Sony จบได้ในหลังกล้อง
จากที่ได้เห็นสเปคกล้อง realme GT 7 Series ทั้ง 2 รุ่นได้ใช้เซ็นเซอร์กล้องตัวท็อปๆ จาก Sony ที่ถ่ายได้สวยงาม คมชัด สีสัน รวมถึงความสวยงามของทั้งแสงและเงาจัดการได้ค่อนข้างดีครับ โดยเฉพาะในเรื่องค่าความอิ่มสีที่ออกมามีความสดพอสมควรเลยครับ ใครที่ชอบสีสันจัดๆ น่าจะไม่ต้องมาเร่งเพิ่มทีหลังแล้ว และที่สำคัญความเก่งในเรื่องของการย้อนแสงหรือ HDR ก็ทำได้สวยครับ ฉากหน้าไม่ได้ดูโอเวอร์เกินไปครับ ส่วนความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเลยคือ realme GT 7 จะได้โทนที่ออกสีฟ้านิดๆ เพื่อเพิ่มความสดของภาพ (สดแบบตะโกนเลยล่ะครับ !!!) ส่วน realme GT 7T จะไม่ได้สีสดเท่า realme GT 7 อยู่บ้างนะ ซึ่งตามภาพตัวอย่างเราจะเทียบทั้ง 2 รุ่นไว้ให้ในเรื่องโทนสีให้เห็นชัดๆ แต่จะเน้นหนักไปที่ realme GT 7 แล้วกันเนาะ



































Travel Style สีสันใหม่แบบมืออาชีพ สร้างเอกลักษณ์ของภาพในสถานการณ์ต่างๆ
ใน realme GT 7 Series มาพร้อมกับฟิเตอร์ใหม่ที่เรียกว่า Travel Style ที่ถ้าดูตามชื่อก็แน่นอนว่าเอาไว้ใช้งานในตอนที่ท่องเที่ยว จะเป็นฟิลเตอร์ใหม่ในสีแบบมืออาชีพที่เข้ามาใหม่ 3 แบบ ดังนี้

- สนาม (Mountain) : ให้สีสันที่มีความสดใส จะมีโทนไปทางสีเขียวมากขึ้นกว่าเดิมตามชื่อฟิลเตอร์ ที่เวลาเราถ่ายภาพธรรมชาติจะดูมีความอิ่ม ความสดใสของธรรมชาติที่เขียวชอุ่มครับ
- ชายทะเล (Island) : ตัวเลือกนี้จะเน้นไปที่โดนสีฟ้าอ่อนๆ ที่ทับเข้ามา ทำให้ได้ภาพที่มีความสดใสมากขึ้นกว่าเดิม เหมาะมากๆ กับการถ่ายท้องฟ้าและท้องทะเลครับ
- เมือง (City) : และโหมดนี้จะได้ฟิลเตอร์ที่มีค่า Contrast สูงขึ้นกว่าอีก 2 ตัวครับ เน้นความเข้มและความคมชัดของภาพเพื่อให้ดูสมจริงใมากขึ้นครับ จริงๆ ฟิลเตอร์นี้ก็เหมาะกับโหมด Street ด้วยเช่นกัน



















Ultra-Wide 112 องศา เก็บครบในมุมมองที่ไม่กว้างเกินไป
สำหรับการถ่ายภาพมุมกว้าง realme GT 7 Series ทั้ง 2 รุ่นมาพร้อมระยะที่เท่ากันที่ 112 องศา เป็นระยะที่กไลังพอดีๆ ไม่กว้างเกินไป ขณะที่ภาพถ่ายออกมาได้ตามมาตรฐาน แสงและเงาเก็บได้ค่อนข้างดี สีสันได้ความสดและอิ่ม ส่วนความละเอียดยังอยู่ที่ 8MP ครับ
















จุดแข็ง Street Photography ยังมีให้ใช้งานอีกเพียบ
Street Photography ยังเป็นจุดแข็งของ realme ที่มีให้ใช้งานกันอยู่ใน realme GT 7 Series ที่ให้มีสไตล์ในการถ่ายภาพท้องถนน ใครที่ชอบถ่ายภาพแนว Street น่าจะได้ใช้งานกันแบบไม่มีเบื่อเลยครับ





















Portrait Snap ถ่ายภาพบุคคลได้ยอดเยี่ยม ละลายหลังอย่างมีมิติ
การถ่ายภาพบุคคลทำได้น่าประทับใจเลยทีเดียว การสวยงามที่ตัวคนทำได้ดูโดดเด่น การตัดขอบและการตรวจจับมีความแม่นยำมากๆ หากดูไปที่บริเวณไรผมก็ไม่ได้ถูกละลายหายไป ฉากหลังดูเบลออย่างมีมิติ และที่สำคัญ สกินโทนยังมีความเป็นธรรมชาติ และปรับให้ตัวบุคคลสว่างขึ้นอีกด้วยครับ



















AI Glare Removal ลบแสงสะท้อนได้อย่างแม่นยำในคลิกเดียว
เราพามาดู AI ในการแก้ไขภาพกันเพิ่มเติมอีกนิด ในฟีเจอร์ AI Glare Removal จะเป็นการลบแสงสะท้อนที่เกิดขึ้นในภาพที่ทำให้เกิดความฟุ้งจนเกินไป แต่หากเราใช้ฟีเจอร์นี้ลบ ก็จะทำให้เหลือเพียงจุดกำเนิดแสงและเสริมความสวยงามของภาพให้มากขึ้นด้วย



ถ่ายภาพได้ชัด ไม่มีเอียงด้วย AI Landscape+
บอกเลยว่าฟีเจอร์ AI Landscape+ เข้ามาช่วยในเรื่องการถ่ายภาพให้องค์ประกอบในภาพสมบูรณ์มากขึ้น ตั้งแต่ภาพทิงทัศน์ที่บางครั้งอาจเจอหมอกหรือความฟุ้งในระยะไกลๆ โหมดนี้ก็เข้ามามาช่วยได้เลยทันที และที่สำคัญยังให้เราเปิดฟีเจอร์การแก้ไของค์ประกอบเพื่อให้ได้ภาพที่ไม่เอียง ซึ่งเส้นขอบฟ้าจะตรงสวยงามทุกภาพไม่ว่าเราจะเอียงซ้ายหรือขวาอยู่ก็ตาม




กล้องหน้า 32MP เซลฟี่สวยๆ เป็นธรรมชาติ
ทั้ง 2 รุ่นให้กล้องหน้ามาสเปคเดียวกันเป๊ะๆ คมชัดสูง 32MP ทำให้ถ่ายภาพมีความละเอียดที่ดีพร้อมปรับแต่งความบิวตี้ได้สูงสุด 100 ระดับ ทำให้ได้ทั้งความคมชัดแต่ก็ยังได้ความสวยงามบนใบหน้าได้ตามใจชอบครับ และก็ยังถ่ายแบบย้อนแสงได้ด้วย โดยจะมีการปรับแสงและเงาของฉากหน้าและหลังให้เท่าๆ กันด้วยครับ








สรุปการใช้งาน realme GT 7 และ realme GT 7T
สรุปแล้ว realme GT 7 Series เป็นสมาร์ทโฟนที่ทรงพลังและเป็นอีกรุ่นที่สามารถเรียกว่าเป็น “The 2025 Flagship Killer” ได้เต็มปากเลยล่ะครับ ด้วยราคาเริ่มต้นไม่ถึง 20,000 บาท แต่ได้สเปคที่จัดเต็ม ตั้งแต่หน้าจอ AMOLED ขนาดใหญ่ ไหลลื่น 120Hz คมชัดสูง 1.5K ความสว่างสูงสุด 6000 นิตอีกด้วย แถมชิปเซ็ตที่ใส่เข้ามายังแรงเบอร์ต้นๆ ของโลกฝั่ง Android เล่นทุกเกมได้แบบหวดห่วงจริงๆ ส่วนความร้อนก็จัดการได้ยอดเยี่ยมในการใส่ Graphene เข้ามาช่วย ที่สำคัญแบตเตอรี่ยังเป็นแบบไททัน 7000mAh ใช้งานเต็มวัน คู่กับชาร์จเร็ว 120W Ultra Charge และไม่ใช่แค่ความแรงเท่านั้น แต่ realme GT 7 Series ทั้ง 2 รุ่นยังถ่ายภาพได้สวยงาม จบแบบหลังกล้อง ไม่ต้องแต่งเพิ่มเติมอีกแล้วครับ

ราคาและวันวางจำหน่าย realme GT 7 Series
จบกันด้วยราคาของทั้ง 2 รุ่นกันบ้างทั้ง realme GT 7 และ realme GT 7T พร้อมด้วยรุ่นพิเศษอีก 1 รุ่น คือ realme GT 7 Dream Edition ซึ่งมาตามนี้เลยครับ
ราคา realme GT 7T (มีสี IceSense Black, IceSense Blue และ Racing Yellow)
- ความจุ 12GB + 256GB : 17,999 บาท
ราคา realme GT 7 (มีสี IceSense Black และ IceSense Blue)
- ความจุ 12GB + 512GB : 22,999 บาท
ราคา realme GT 7 Dream Edition
- ความจุ 16GB + 512GB : 24,999 บาท
สามารถพรีออเดอร์ได้ตั้งแต่วันที่ 27-30 พฤษภาคมและเป็นเจ้าของได้พร้อมกันในวันที่ 31 พฤษภาคม 2568 ได้ตามช่องทางดังนี้
- ช่องทาง realme Brand Shop และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ อาทิ Banana, BKK, Cyberkong, Kingkong Phone, IT City, TG, Jaymart, Stamp, Advice และ Singer
- ช่องทางเครือข่ายโอเปอร์เรเตอร์ True, Dtac และ Ais
- ช่องทางอีคอมเมิร์ซ Shopee, Lazada และ Tiktok Shop (สำหรับช่องทางอีคอมเมิร์ซจำหน่ายวันแรกในวันที่ 27 พฤษภาคมเป็นต้นไป)
- พิเศษสำหรับรุ่น realme GT 7 Dream Edition สามารถเป็นเจ้าของได้เฉพาะช่องทาง Shopee และ realme Brand Shop ตามสาขาที่กำหนดเท่านั้น
