Connect with us

Featured

รีวิว Samsung Galaxy Tab S9 FE+ แท็บเล็ตจอใหญ่ 12.4″ ความสามารถครบ | Refresh rate 90Hz | รองรับ S Pen | กันน้ำ IP68

Published

on

รีวิว Samsung Galaxy Tab S9 FE+ แท็บเล็ตรุ่นใหม่จาก Samsung ที่รอบนี้อัปเกรดสเปคและฟีเจอร์มาให้เหนือชั้น คราวนี้เพิ่มเติมจุดเด่นเข้ามาใน 3 อย่างหลัก ๆ คือ หน้าจอ 90Hz, ชิปเซ็ต Exynos 1380 มีรุ่น 5G ให้เลือกและความสามารถกันน้ำกันฝุ่นที่ครั้งแรกของซีรีส์ Tab S FE ด้วยมาตรฐาน IP68 อีกต่างหาก ทั้งหมดที่ว่ามานี้แต่ราคาเบา ๆ เพียง 24,000 มีทอน!

ฮั่นแน่! เปิดมาแบบนี้เชื่อว่ามีหลายคนสนใจกันอยู่แน่นอน แท็บเล็ตจอลื่น ชิปดี กันน้ำได้ในราคาไม่ถึง 24,000 บาทแบบนี้เนาะ พร้อมแล้วก็มาติดตามรีวิวฉบับเต็มของ Galaxy Tab S9 FE+ รุ่นนี้กันเลยว่า น่าโดนแค่ไหนครับ!

สรุปสเปค Samsung Galaxy Tab S9 FE+

  • ขนาดตัวเครื่อง : 185.4 x 285.4 x 6.5 มม.
  • น้ำหนัก : 627 กรัม (WiFi) 628 กรัม (5G)
  • ความทนทาน : บอดี้ Full Metal / ทนน้ำ ทนฝุ่น IP68
  • หน้าจอ : TFT LCD 12.4” ความละเอียด WQXGA (2560 x 1600 พิกเซล) อัตราส่วน 16:10
  • Refresh rate : 90Hz
  • CPU : Exynos 1380 Octa-Core 2.4GHz (5nm)
  • GPU : Mali-G68 MP5
  • RAM : 8GB
  • ROM : 128GB (รองรับ MicroSD สูงสุด 1TB)
  • แบตเตอรี่ : 10,090 mAh
  • ระบบชาร์จ : รองรับสูงสุด 45W Super Fast Charge 2.0
  • กล้องหน้า : 12MP Ultra Wide
  • กล้องหลัง : 8MP + 8MP (Main + Ultra Wide)
  • รองรับการเชื่อมต่อ : 5G, Wi-Fi 6E, Bluetooth 5.3 และพอร์ต USB-C
  • รองรับปากกา : S Pen (ให้มาในกล่อง)
  • ระบบปฎิบัติการ : Android 13 (One UI 5.1.1)
  • สีสัน : Gray และ Mint

นอกจากนี้ ยังมีน้องเล็กอย่าง Galaxy Tab S9 FE ที่มาในราคาเริ่มต้นเพียง 17,000 มีทอนด้วยนะ

สรุปสเปค Samsung Galaxy Tab S9 FE

  • ขนาดตัวเครื่อง : 165.8 x 254.3 x 6.5 มม.
  • น้ำหนัก : 523 กรัม (Wi-Fi) / 524 กรัม (5G)
  • ความทนทาน : Full Metal / ทนน้ำ ทนฝุ่น IP68
  • หน้าจอ : TFT LCD 10.9” ความละเอียด WUXGA+ (2304 x 1440 พิกเซล) อัตราส่วน 16:10
  • Refresh rate : 90Hz
  • CPU : Exynos 1380 Octa-Core 2.4GHz (5nm)
  • GPU : Mali-G68 MP5
  • RAM : 6GB
  • ROM : 128GB (รองรับ MicroSD สูงสุด 1TB)
  • แบตเตอรี่ : 8,000 mAh
  • ระบบชาร์จ : รองรับสูงสุด 45W Super Fast Charge 2.0
  • กล้องหน้า : 12MP (Ultra-Wide)
  • กล้องหลัง : 8MP
  • รองรับการเชื่อมต่อ 5G, Wi-Fi 6, Bluetooth 5.3 และพอร์ต USB-C
  • รองรับปากกา : S Pen (ให้มาในกล่อง)
  • ระบบปฎิบัติการ : Android 13 (One UI 5.1.1)
  • สีสัน : Gray Mint และ Lavender

หน้าจอใหญ่ 12.4″ แสดงผลเต็มตา

มาเริ่มที่ดีไซน์ตัวเครื่องกันก่อนเลย Galaxy Tab S9 FE+ รุ่นใหญ่ของปีนี้จะพร้อมขนาดหน้าจอ 12.4″ และจะมีรุ่นน้องอย่าง Galaxy Tab S9 FE ที่ลดขนาดจอลงเป็น 10.9″ ให้เลือกด้วย แน่นอนว่าจอใหญ่ระดับนี้ก็มอบประสบการณ์การใช้งานได้เต็มอิ่ม ขอบหน้าจอก็ถือว่าบางกำลังดี อาจจะไม่ได้ชิดสุดไปเลย แต่ก็ยังมีพื้นที่ให้เราได้จับถือได้อย่างถนัดมือครับ

ในเรื่องการแสดงผลจอของ Galaxy Tab S9 FE+ ใช้เป็นจอ TFT ขนาด 12.4″ มีความละเอียดอยู่ที่ WQXGA หรือ 2560 x 1600 พิกเซล เรียกว่าสูงเพียงพอต่อการดูคอนเทนต์ หรืออ่านข้อมูลบนเว็บไซต์ได้อย่างครบถ้วนแล้ว สีสันที่แสดงออกมาก็สวยแบบกำลังดีมุมมองกว้างใช้ได้ สมกับที่เป็น Samsung จริง ๆ ครับ

นอกจากนี้ด้วยความที่เป็น Galaxy Tab S9 Series ความสามารถ Vision Booster อัลกอริทึมที่ช่วยปรับแสงหน้าจอให้เข้ากับสถานการณ์การใช้งานกลางแจ้งก็ยังมีมาด้วย เวลาเราใช้งานในที่แสงจ้ามาก ๆ ตัวจอจะเร่งความสว่างให้สูงสุดบวกกับปรับปรุงคอนทราสต์และสีเพื่อให้การแสดงผลมีชีวิตชีวาแบบที่ควรจะเป็น!

Refresh rate 90Hz ประสบการณ์ลื่นไหลกว่าที่เคย

ส่วนเรื่องการตอบสนองบอกเลยว่ารอบนี้ยกระดับขึ้นมาชัดเจน เพราะได้ Refresh rate มาเป็น 90Hz แล้ว ทำให้การเลื่อนหน้าจอ ไถฟีดในแอป Social Media ต่าง ๆ ลื่นไหลยิ่งขึ้น หรือจะสลับแอปไป-มาก็มอบความสมูทขึ้นอย่างชัดเจน ตรงนี้เราชอบมาก

บอดี้ Full Metal แข็งแกร่งและเพรียวบาง

ตัวบอดี้ของ Galaxy Tab S9 FE+ นั้นใช้วัสดุ Full Metal ผิวด้านที่มีความพรีเมี่ยมใช้ได้ เวลาจับถือเราจะได้ความเนียนมือเพราะผิวสัมผัสเป็นแบบด้าน ทำให้เราอยากจับถือและใช้งานมากขึ้น ความบางของตัวเครื่องก็ทำได้ดีเพียง 6.5 มม. เอง สามารถใส่กระเป๋าเป้หรือกระเป๋าถือพร้อมให้พกไปทำงานได้ตลอดเวลา

กล้องหลังคู่ พร้อมแถบแม่เหล็กแปะ S Pen

ที่ด้านหลังของ Galaxy Tab S9 FE+ จะมีกล้องหลังคู่ ใช้ดีไซน์กรอบเลนส์โดด ๆ แบบเดียวกับ Galaxy Tab S9 Series รุ่นอื่น ๆ หรือสมาร์ทโฟนส่วนใหญ่ของ Samsung ในปีนี้ครับ เป็นเอกลักษณ์ใหม่ไปแล้ว

ส่วนข้าง ๆ ไปแม้จะไม่มีแถบแสดงให้เห็นชัดเหมือนรุ่นพี่ Galaxy Tab S9 ทั้ง 3 รุ่นที่เปิดตัวไปก่อนหน้า แต่จริง ๆ แล้วยังมีแม่เหล็กอยู่ภายในเหมือนกัน เราสามารถนำ S Pen มาแปะยึดกันไว้ได้ แต่ด้วยความที่ S Pen ของ Galaxy Tab S9 FE+ นั้นไม่ได้เป็น Bluetooth ก็เลยไม่จำเป็นต้องชาร์จแบตฯนั่นเองครับ

ตำแหน่งปุ่มกดที่วางมาให้อย่างเหมาะเจาะ

ปุ่มกดของ Galaxy Tab S9 FE+ นั้นวางไว้ให้เราได้กดอย่างถนัดทั้งแนวตั้งและแนวนอน ถ้าเราถือเครื่องแนวตั้งปุ่มจะอยู่ฝั่งขวามือทั้งหมด เหมือนบนมือถือ Samsung Galaxy ทั่วไปที่เราคุ้นชิน แต่ถ้าพลิกเป็นแนวนอนปุ่มจะอยู่ที่ด้านบน ก็ยังเหมาะกับการวางเครื่องหรือจะใส่เคสแล้ววางดูคอนเทนต์เนาะ

ที่ปุ่ม Power ของ Galaxy Tab S9 FE+ จะมีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมืออยู่ด้วย ช่วยให้เราตั้งค่าเพื่อความปลอดภัยได้ เวลาจะปลดล็อคก็สะดวกเพราะตำแหน่งวางมาดีอย่างที่บอกไป จะแตะสแกนก็ง่ายและรวดเร็ว

กล้องหน้าก็วางไว้สำหรับใช้งานแนวนอนโดยเฉพาะ ออกแบบมาได้ดีทีเดียว เพราะเวลาเราใช้งาน Video Call หรือประชุมต่าง ๆ ก็คงต้องวางเครื่องในแนวนอน หรือใช้งานร่วมกับตัวเคสต่าง ๆ การวางตำแหน่งไว้ในแนวนอนตรงกลางแบบนี้เวลาเรามองหน้าจอสายตาก็จะไม่เอียงแบบที่วางไว้ที่มุมซ้ายด้วยครับ

พอร์ตการเชื่อมต่อ USB-C ก็จะอยู่ที่มุมขวาเวลาวางเครื่องแนวนอน ใช้งานได้สะดวกในการเสียบชาร์จไปด้วยทำงานไปก็ไม่มีปัญหา

ลำโพง 2 ตัวจาก AKG คุณภาพแจ่ม

ส่วนลำโพงของตัวเครื่องให้มา 2 ตัววางตำแหน่งไว้บน-ล่างเมื่อถือแนวตั้ง แต่หากใช้งานแนวนอนก็จะเป็นซ้าย-ขวาแทน วางตำแหน่งไว้ด้านบนด้วย จะใช้งานแบบจับถือเล่นเกมก็ไม่เอามือไปบัง หรือจะติดกับเคสตั้งเครื่องไว้ก็ให้เสียงออกมาแบบ Stereo เลย เสียงดีเลยล่ะครับ

เชื่อมต่อกับเคสผ่าน POGO PIN ที่ด้านล่าง

ที่ด้านล่างตัวเครื่องจะมี POGO PIN สามจุดสีทองอยู่ตรงนี้จะเป็น Connector สำหรับเชื่อมกับเคสคีย์บอร์ดนั่นเองครับ แต่เสียดายที่เราไม่ได้ตัวเคสคีย์บอร์ดมาด้วย เลยไม่ได้เชื่อมต่อใช้งานให้ดูเนาะ

เพิ่ม microSD ได้สูงสุด 1TB

Galaxy Tab S9 FE+ รุ่นที่เราได้มารีวิวจะเป็นรุ่น WiFi มีถาดใส่ microSD มาให้ด้วยเพิ่มได้สูงสุดถึง 1TB เลยครับรุ่นนี้

มี S Pen แถมมาให้เหมือนเคย

อย่างที่ทราบว่า Galaxy Tab S9 FE+ นั้นมีปากกา S Pen ติดมาให้เหมือนเคย เราไม่ต้องไปหาซื้อเพิ่มให้เปลืองเงิน และตัว S Pen เวอร์ชั่นนี้ก็ใช้งานฟีเจอร์ขีด-เขียนได้ครบไม่แพ้รุ่นอื่น ๆ เลย ตัวปากกามีขนาดที่กำลังพอดีมือเวลาจับถือ ใช้งานก็รู้สึกเหมือนปากกาจริงด้วย

ดีไซน์จะเรียบง่าย ฝั่งหนึ่งเป็นแบบแบนราบอย่างที่เห็นเอาไว้ใช้ยึดกับด้านหลังหรือด้านข้างของตัวเครื่องผ่านแม่เหล็ก ส่วนอีกฝั่งจะเป็นแบบโค้งมนที่มีปุ่มกด 1 ปุ่มให้สั่งงานเพิ่มเติมตอนใช้งานด้วยครับ

กันน้ำกันฝุ่นได้ด้วย ครั้งแรกของซีรีส์ Galaxy Tab S FE

ก่อนหน้านี้ Galaxy Tab S9 Series เปิดตัวมาพร้อมคุณสมบัติกันน้ำกันฝุ่นเป็นครั้งแรกของแท็บเล็ตพรีเมี่ยมไปแล้ว รอบนี้ Samsung ก็เซอร์ไพรส์เราอีกด้วยการใส่ฟีเจอร์ดังกล่าวมาให้รุ่นน้องอย่าง Galaxy Tab S9 FE+ (และ Tab S9 FE) ด้วย ช่วยเพิ่มความโดดเด่นเข้าไปอีกเยอะ

เพราะในบางสถานการณ์ฟีเจอร์เรื่องการกันน้ำได้นั้นช่วยได้เยอะ อาทิ เราอาจเผลอทำแก้วน้ำหกใส่บนโต๊ะทำงาน, ดูสูตรทำอาหารในห้องครัว, ต้องลุยฝนแบบหนัก ๆ กับสภาพอากาศที่ไม่แน่นอน หรืออยากเอาไปเปิดเพลง ดูซีรีส์สั้น ๆ ในห้องน้ำ ทุกสถานการณ์ที่ว่ามานี้ Galaxy Tab S9 FE+ เครื่องนี้ช่วยให้เรามั่นใจว่าหากต้องโดนน้ำจัง ๆ ก็จะไม่เสียหายเพราะได้มาตรฐาน IP68 มาแบบเดียวกับรุ่นพี่ Galaxy Tab S9 Series ทั้ง 3 รุ่นก่อนหน้านั้นเลยล่ะครับ

สรุปแล้วในเรื่องดีไซน์ Galaxy Tab S9 FE+ ก็ถือว่าออกแบบมาได้ดีสมกับมาตรฐานของ Samsung ทั้งความอลังการของหน้าจอให้มา 12.4″ ใหญ่สะใจ Refresh rate ลื่นไหลระดับ 90Hz บอดี้แข็งแกร่งด้วยอลูมิเนียมแต่ก็ยังได้ความบางเบาน่าพกพา มีปากกา S Pen ให้พกติดเครื่องไปไหนต่อไหนได้ง่าย ๆ แต่ที่ขาดไม่ได้เลยก็คือความสามารถกันน้ำกันฝุ่นที่ดูเป็นมาตรฐานใหม่ทำให้รุ่นนี้ดูน่าใช้ขึ้นมาในทุกสถานการณ์จริง ๆ ครับ

มี S Pen ยกระดับความคิดสร้างสรรค์ ได้อย่างไร้ขีดจำกัด

ขอกลับมาพูดเรื่อง S Pen กันอีกสักหน่อย เพราะนี่เป็นจุดเด่นที่น่าสนใจมาก S Pen ของ Galaxy Tab S9 FE+ นั้นได้สเปคมาไม่แพ้รุ่นพี่ ๆ ทั้งหัวปากกาที่แหลมเหมาะกับการขีดเขียนเป็นอย่างดี, รองรับแรงกดหลายระดับ, กันน้ำกันฝุ่น IP68 หรือจะเป็นขนาดที่พอเหมาะพอเจาะ จุดที่ต่างไปนิดหน่อยก็คือ S Pen ของรุ่นนี้จะไม่ได้เป็นแบบ Bluetooth จึงไม่สามารถสั่งงานแบบรีโมทได้เท่านั้นเองครับ

แต่แม้จะไม่มี Bluetooth ให้สั่งงานได้ แต่คุณสมบัติในการจด ขีดเขียนก็มีมาให้ครบซึ่งเมื่อใช้งานกับแอปหรือฟีเจอร์ที่ปรับแต่งมาให้อย่างดีของ Samsung ก็ยกระดับความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างไร้ขีดจำกัดเลยจริง ๆ ครับ อาทิ การจดโน้ตแบบด่วน ๆ บางสถานการณ์เรามีไอเดียหรือต้องรีบจดโน้ตแบบด่วน ๆ เราเพียงแค่กดปุ่มที่ S Pen ค้างไว้และเคาะที่หน้าจอ 2 ครั้ง ก็จะเข้าสู่หน้า Screen off memo ทันที

แปลข้อความได้เรียลไทม์

หรือจะเป็นการแปลข้อความแบบด่วน ๆ บางครั้ง ไม่ต้องมานั่ง copy ประโยคแล้วสลับแอปไปมา บางครั้งเราเปิดไฟล์ชีท PDF หรือรูปภาพ ถ้าอยากแปล จะไม่สามารถ Copy คำได้ เพราะมันอยู่บนรูปภาพ ทำให้จะต้องจำคำ แล้วนำไปพิมพ์ใน Google Translate เพื่อแปล แต่หากมี S Pen Translate สามารถใช้ S Pen ชี้แล้วแปลได้เลย ไม่ว่าจะเป็น Text, PDF, รูปภาพ หรือแม้แต่ดูหนังใน Netflix โดยสามารถเลือกแปลเป็นคำ หรือประโยคได้เลย หากกำลังดูซีรีส์เกาหลีที่มี Subtitle เป็นภาษาอังกฤษ ก็สามารถใช้ S Pen Translate แปลเป็นภาษาไทยได้อย่างเรียลไทม์เช่นกัน ตรงนี้มีประโยชน์มาก ๆ เลยล่ะ

Samsung Notes ที่สุดของแอปสำหรับ S Pen

ในเรื่องการใช้งานร่วมกับ S Pen ทาง Samsung ก็มีแอป Samsung Notes ที่ติดมากับเครื่องอยู่แล้ว ให้เราได้จดบันทึก วาดรูป หรือขีดเขียนได้อย่างอิสระ พอทำงานร่วมกับ S Pen ที่ลื่นไหลและตอบสนองได้ดีก็ยิ่งถูกใจเราเข้าไปใหญ่ แถมพอรอบนี้หน้าจอลื่นขึ้นเป็น 90Hz แล้ว ก็ทำให้ตอบสนองการเขียนได้ทันมือมากขึ้น

S Pen to Text เขียนลายมือตัวเองแล้วเปลี่ยนเป็น Text ได้เลย

หรือจะแปลงลายมือของเราเป็น Text แทนการพิมพ์ข้อความก็ได้ ยกตัวอย่างเช่นเรากำลังวาดรูปหรือเขียนโน้ตเพลิน ๆ แล้วอยากสลับไปหาข้อมูลบนเว็บไซต์ แทนที่จะต้องมาพิมพ์ผ่านคีย์บอร์ด เราก็สามารถใช้ S Pen เขียนแล้วแปลงเป็น Text ได้เลย ตรงนี้เราว่าสะดวกมาก ๆ

อัดหน้าจอไป จดโน้ตไปด้วยก็ได้

สำหรับใครที่ต้องจดข้อมูลไปพร้อม ๆ กับอัดหน้าจอไปด้วย Galaxy Tab S9 FE+ ก็สามารถทำได้ ตรงนี้ช่วยให้นักเรียน นักศึกษาที่อาจจะเรียนออนไลน์ ดูพรีเซนต์งานออนไลน์จดและขีดเขียนลงไปขณะที่บันทึกหน้าจอได้เลย ง่ายต่อการทำงานทีหลังอีกเยอะ

แคปภาพและตัดรูปจากวิดีโอมาแปะในโน๊ตได้เลย

ความสามารถใหม่ของ One UI 5.1.1 ที่เราสามารถตัดวัตถุออกจากรูปได้อย่างง่ายดาย พอทำงานร่วมกับแอป Samsung Notes ก็ช่วยให้เราสร้างสรรค์ได้มากกว่าเดิม อย่างในที่นี้เราดึงภาพที่แคปจากวิดีโอมาใช้งานต่อได้ทันที
บวกกับการแบ่ง 2 หน้าจอแล้ว ก็ทำให้ไม่ต้องกดสลับแอปเข้า-ออก Copy มา Paste นี่ลากข้ามมาหากันได้เลยครับ

ตัดต่อ Reels ให้น่าร๊ากกก

ในเรื่องการตัดต่อวิดีโอก็ง่ายเพราะด้วยความที่หน้าจอมีขนาดใหญ่พื้นที่เยอะบวกกับการมี S Pen ให้จิ้ม วาด หรือตกแต่งเพิ่มเติมได้สะดวกยิ่งขึ้น ใครที่ชอบลงคลิปสั้น Reels หรือ TikTok ก็ตัดง่าย ๆ ผ่านแอป Gallery ได้เลยด้วย สะดวกนะเอาดี ๆ

สิทธิพิเศษจาก Application ต่างๆ สำหรับลูกค้า Galaxy Tab S9 FE Series

นอกจากแอป Samsung ที่มีติดเครื่องจะใช้งานได้ดีแล้ว ใครที่ชินกับแอป 3rd Party บน Galaxy Tab S9 FE+ และ Galaxy Tab S9 FE ก็มีสิทธิพิเศษสำหรับแอปชื่อดังมากมาย ประกอบด้วย

  • Note-taking Apps: GoodNotes ใช้ฟรี 1 ปีแรก (มูลค่าโดยประมาณ 300 บาท) สำหรับผู้ใช้งานใหม่ พร้อมส่วนลด 20% สำหรับการซื้อปีต่อไป*
  • YouTube Premium ฟรี 4 เดือน (มูลค่าโดยประมาณ 1,600 บาท) สำหรับผู้ใช้งานใหม่เท่านั้น อ่านเงื่อนไขทั้งหมดได้ที่: https://www.youtube.com/premium/restrictions
  • ArcSite ใช้ฟรี 1 เดือนแรก และลด 30% เมื่อซื้อ Subscription ครั้งถัดไป*
  • Clip Studio Paint แอปพลิเคชันวาดรูปฟรี 6 เดือน
  • Adobe Lightroom และ Adobe Express ฟรี 2 เดือน*
  • LumaFushion – แอปพลิเคชันตัดต่อ ลด 50% เมื่อซื้อครั้งแรก**

*ต้องดาวน์โหลดจาก Galaxy Store เท่านั้น*
**สิทธิพิเศษถึงวันที่ 4 ตุลาคม 2567 เท่านั้น**

ซอฟต์แวร์เวอร์ชั่นล่าสุด One UI 5.1.1

มาต่อในเรื่องซอฟต์แวร์ Galaxy Tab S9 FE+ และ Galaxy Tab S9 FE มาพร้อมกับ Android 13 ที่ครอบทับด้วย One UI 5.1.1 หรือเวอร์ชั่นล่าสุดเดียวกับรุ่นพี่ Galaxy Tab S9 ทั้ง 3 รุ่นก่อนนั่นแหละ ตัว UI ปรับแต่งมาให้เข้ากับแท็บเล็ตจอใหญ่ได้เป็นอย่างดี ทั้งหน้าเมนูในแอปการตั้งค่าที่แบ่งสัดส่วนชัดเจน มี TaskBar อยู่ด้านล่างเวลาเปิดเข้าแอป

จอใหญ่แบ่งใช้งานได้หลายแอป

ความได้เปรียบของหน้าจอใหญ่ ๆ อย่างแท็บเล็ตก็คือการแบ่งการทำงานหลาย ๆ หน้าต่างในครั้งเดียว ซึ่ง Galaxy Tab S9 FE+ ที่มีจอใหญ่ถึง 12.4″ นี้ก็เรียกว่าเพียงพอต่อการใช้งานแล้วครับ จะแบ่ง 2 แอปทำงานพร้อมกันบน-ล่างหรือซ้าย-ขวาก็ง่ายดาย หรือจะเพิ่มมากกว่านั้นก็เพียงแค่ลากไอคอนแอปด้านล่างขึ้นมาได้เลย จะรวมเป็น 3 แอปแล้วดึงเป็น Pop up view รวมกันเป็น 4 แอปก็ได้ไม่มีปัญหา

สเปคดี ตอบโจทย์ด้าน Entertainment

Galaxy Tab S9 FE+ มาพร้อมชิปเซ็ต Exynos 1380 รุ่นกลางที่เคยสร้างความประทับใจเรามาแล้วตอน Galaxy A54 5G นั่นเอง ประสิทธิภาพก็ถือว่าทำได้ยอดเยี่ยม รองรับการใช้งานด้านความบันเทิงครบเครื่องทั้งการดูหนังความละเอียดสูง เล่นโซเชียลหรือเล่นเกม ด้วยสเปคที่เร็วแรง

รองรับการเชื่อมต่อระดับ WiFi 6E

ส่วนเรื่องการเชื่อมต่อ Galaxy Tab S9 FE+ ก็รองรับสูงสุดถึง WiFi 6E ช่วยให้การใช้งานราบรื่นมากขึ้น จะใช้เล่นเกมออนไลน์, สตรีมหนังความละเอียดสูง หรือจะดาวน์โหลดไฟล์ขนาดใหญ่ก็ไม่ใช่ปัญหาของรุ่นนี้เลยครับ

เพื่อให้เห็นภาพของประสิทธิภาพที่ Galaxy Tab S9 FE+ คร่าว ๆ เราลองทดสอบผ่านแอป Benchmark ให้เห็นคะแนนจาก AnTuTu Benchmark กันหน่อย คะแนนออกมาสูงใช้ได้ที่ 570832 คะแนน เรียกว่าอยู่ในระดับแท็บเล็ตสเปคดีครับคะแนนนี้

ส่วนฝั่ง Geekbench 6 ก็ได้คะแนน Single-Core ไป 1009 คะแนน และ Multi-Core 2826 คะแนนครับ อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่ใช้งานได้อย่างราบรื่นและไม่ติดขัดใจครับ

เล่นเกมถูกใจ Exynos 1380 เอาอยู่!

ส่วนการเล่นเกมก็เช่นเดียวกับตอน Galaxy A54 5G ครับ สเปคนี้จัดว่าใช้งานได้ดีเลย ปรับกราฟิกได้ระดับกลาง-สูงได้ในหลายเกม มาบน Galaxy Tab S9 FE+ ก็ใกล้เคียงกันเลย เพียงแต่ได้ความเต็มตาของจอที่ใหญ่กว่า ซึ่งเกมที่เราใช้ทดสอบ จะเป็น Asphalt 9 และ PUBG ครับผม

เล่น Asphalt 9 บน Galaxy Tab S9 FE+

สำหรับ Asphalt 9 เราสามารถปรับกราฟิกได้ที่ระดับ High Quality หรือสูงสุด ร่วมกับ 60fps ได้ ในการเล่นจริง ๆ ก็ทำได้ดีเลยครับ กราฟิกสวยคมบนหน้าจอขนาดใหญ่ระดับ 12.4″ ความลื่นไหลก็ 60fps นิ่ง ๆ เล่นเกมได้ถูกใจเลยล่ะ

เล่น PUBG บน Galaxy Tab S9 FE+

ต่อมากับเกม PUBG เราสามารถปรับระดับกราฟิกและเฟรมเรตได้สูงสุดที่ HD+High เพียงพอที่จะได้ความคมชัดของภาพและความลื่นไหลของการเล่นระดับ 30fps แล้ว ตัวเกมแสดงผลได้ยอดเยี่ยมเลย เล่นได้ลื่น ๆ ไม่ขัดใจ แถมพอได้ลำโพงคู่ Stereo ที่วางตำแหน่งได้ดีก็ช่วยให้เราได้ยินเสียงกระสุนหรือฝีเท้าของศัตรูได้ชัดเจนยิ่งขึ้น มีมิติมาก ๆ

แบตเตอรี่อึด ชาร์จไวถูกใจแน่นอน

เรื่องแบตเตอรี่ Galaxy Tab S9 FE+ ได้แบตเตอรี่มาเยอะถึง 10,090 mAh ถือว่าเยอะเพียงพอต่อการใช้งานตลอดวันมาก ๆ บวกกับชิปเซ็ต Exynos 1380 ที่จัดการพลังงานได้ดี เท่าที่เราลองใช้งานมาจริง ๆ ถือว่าทำได้ดีเลย จะใช้งานตลอดวันได้สบาย จะเล่นเกม ดูซีรีส์หลาย ๆ ตอนก็เหลือเพียงพอต่อการใช้งานทั้งวันสบาย ๆ

ส่วนระบบชาร์จรุ่นนี้ก็ได้ระบบชาร์จไวสูงสุด 45W Super Fast Charging 2.0 สูงที่สุดที่ Samsung มีในตอนนี้แล้ว ช่วยได้เยอะถ้าแบตฯใกล้หมดจริง ๆ เราก็ไม่ต้องรอนานมากในการชาร์จ เพราะแบตฯให้มาเยอะขนาดนี้นี่เนอะ

โดยรวมในเรื่องประสิทธิภาพของ Galaxy Tab S9 FE+ ก็ถือว่ายอดเยี่ยมครับ จัดเป็นแท็บเล็ตรุ่นกลางที่ตอบโจทย์ทั้งการทำงานหนัก หรือจะเป็นด้านความบันเทิงก็ถูกใจเพราะด้วยชิปเซ็ต Exynos 1380 ที่ใช้งานได้ดี แถมยังจัดการพลังงานเยี่ยม มีหน้าจอขนาดใหญ่ระดับ 12.4″ ที่ลื่นไหล 90Hz อีกทั้งยังมีลำโพงคู่จาก AKG ผสานให้ดูหนัง เล่นเกมได้ฟิน ๆ อีกด้วย

วางจำหน่ายแล้ววันนี้

Galaxy Tab S9 FE Series เริ่มวางจำหน่ายแล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ผ่านช่องทางออนไลน์บนเว็บไซต์ samsung.com และ Samsung Official Store บน Shopee และ Lazada หรือหน้าร้านที่ Samsung Experience Store และร้านค้าที่ร่วมรายการ โดยมีราคาดังนี้

  • Galaxy Tab S9 FE Wi-Fi (6/128GB) ราคา 16,990 บาท
  • Galaxy Tab S9 FE 5G (6/128GB) ราคา 19,990 บาท
  • Galaxy Tab S9 FE+ Wi-Fi (8/128GB) ราคา 23,900 บาท
  • Galaxy Tab S9 FE+ 5G (8/128GB) ราคา 27,900 บาท

โดยจะมีโปรโมชั่นสำหรับช่วงเปิดตัวเมื่อสั่งซื้อตั้งแต่วันที่ 4 ตุลาคม – 1 พฤศจิกายนได้รับฟรี Smart Book Cover มูลค่าสูงสุด 2,990 บาท ไปด้วยเลยครับ

สรุปแล้ว “นี่คือแท็บเล็ตจอใหญ่ ความสามารถไม่น้อยหน้าพี่ใหญ่กับราคา 24,000 มีทอน”

สรุปแล้ว Galaxy Tab S9 FE+ ก็จัดเป็นแท็บเล็ตจอใหญ่ระดับกลางรุ่นใหม่ที่ครบเครื่องสุด ๆ ในราคา 24,000 บาทมีทอนจริง ๆ เพราะสเปคที่ให้มาถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานทั้งความบันเทิงและทำงานจริงจังเลย ทั้งหน้าจอ 12.4″ Refresh rate ลื่นไหล 90Hz, ชิป Exynos 1380 ที่เร็ว แรง, แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 10,090 mAh, รองรับ S Pen ใช้ประโยชน์ได้มากมายและแน่นอนแถมมาในกล่อง หรือจะเป็นคุณสมบัติกันน้ำกันฝุ่น IP68 ที่ทำได้เหมือนรุ่นพี่อย่าง Galaxy Tab S9 Series อีกด้วย ทั้งหมดนี้กับราคาที่ไม่สูงจนเกินไป เราว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากสมกับความเป็นรุ่น FE (Fan Edition) จริง ๆ

กำลังฮอต

Featured2 สัปดาห์ ago

รีวิว Redmi Note 13 Pro 5G สมาร์ทโฟนที่ใช้ขุมพลังตัวท็อป SD 7s Gen 2 พร้อมกล้องหลัง 200MP และชาร์จไว 67W 

รีวิว Redmi Note 13 ...

HUAWEI Band 9 ราคาเริ่มต้น 1,299 บาท HUAWEI Band 9 ราคาเริ่มต้น 1,299 บาท
Featured2 สัปดาห์ ago

5 ข้อควรรู้ก่อนเลือกซื้อสมาร์ทแบนด์ กับความครบเครื่องของ HUAWEI Band 9 สมาร์ทแบนด์ที่เชื่อมต่อสมาร์ทโฟนได้ทุกรุ่น ดูแลสุขภาพยืนหนึ่งในราคาเริ่มต้น 1,299 บาท

ใครที่อยู่ในช่วงเริ่...

Apple News3 สัปดาห์ ago

AIS เปิดบริการ AIS Care+ with AppleCare Services รายแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ให้ผู้ใช้อุ่นใจมากขึ้น สบายใจที่สุด

AIS คว้า AppleCare S...

Featured1 เดือน ago

รีวิว vivo Y100 5G สนุกกับสเปกเต็ม 100 ด้วยขุมพลัง SD 4 Gen 2 5G ดีไซน์อัปเกรดสุดพรีเมียม พร้อมชาร์จเร็ว 80W FlashCharge

รีวิว vivo Y100 5G น...

Featured2 เดือน ago

รีวิว realme 12+ 5G | realme 12 Pro+ 5G “Be a Portrait Master” ด้วยกล้อง Periscope ระดับเรือธง | ดีไซน์นาฬิกาหรู | ชาร์จไว 67W SUPERVOOC

รีวิว realme 12+ 5G ...

Copyright © 2012 iphone-droid.net.

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ ดูเพิ่มเติมที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และจัดการได้ที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึก